สวทช.-รพ.ธรรมศาสตร์ฯ ส่ง 'ดิจิทัลเฮลท์แคร์' ยกระดับโรงพยาบาลอัจฉริยะ

สวทช.-รพ.ธรรมศาสตร์ฯ ส่ง 'ดิจิทัลเฮลท์แคร์' ยกระดับโรงพยาบาลอัจฉริยะ

สวทช. จับมือ รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ลงนามบันทึกข้อตกลง “โครงการความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ Digital Healthcare ยกระดับสู่โรงพยาบาลอัจฉริยะ ส่งเสริมให้เกิดผลงานนวัตกรรมทางด้าน Smart Healthcare และ Digital Healthcare

ในการเตรียมความพร้อมและปรับเปลี่ยนกระบวนการปฏิบัติงานของโรงพยาบาล โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีด้านดิจิทัลในการเชื่อมโยงกับระบบสารสนเทศ (Digital Transformation) เป็นระยะเวลา 5 ปี เพื่อพัฒนาคุณภาพบริการ ระบบบริหารจัดการและยกระดับโรงพยาบาลเข้าสู่ Smart Hospital

161353436456

ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. มุ่งสร้างเสริมการวิจัย พัฒนา ออกแบบ และวิศวกรรม จนสามารถถ่ายทอดไปสู่การใช้ประโยชน์ พร้อมส่งเสริมด้านการพัฒนากำลังคนและโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่จำเป็น เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยที่ผ่านมา สวทช. ได้ผลักดันงานวิจัยและพัฒนาเครื่องมือแพทย์รวมไปถึงการร่วมทดสอบผลงานนวัตกรรมทางการแพทย์ของศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED)

ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ร่วมกับโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ได้แก่ เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สำหรับงานทันตกรรม DentiiScan, เครื่องเอกซเรย์ดิจิทัลสำหรับถ่ายทรวงอก BodiiRay S, การร่วมวิจัยพัฒนาอุปกรณ์ให้สารน้ำพร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง,  การทดสอบประสิทธิภาพการคัดกรองอุณหภูมิด้วยเครื่อง Mutherm บริเวณประตูทางเข้าโรงพยาบาลตำแหน่งจุดคัดกรองผู้ป่วย และปัจจุบันได้มีการนำระบบ “อยู่ไหน (UNAI)” สําหรับให้บริการข้อมูลตําแหน่งภายในอาคาร เพื่อให้เกิดการขยายผลของการนำผลงานวิจัยไปประยุกต์สู่การใช้งานในด้านการติดตามตำแหน่งเครื่องมือแพทย์ภายในโรงพยาบาล ร่วมกับระบบติดตามการใช้พลังงานนำไปสู่ระบบการบริหารจัดการเครื่องมือแพทย์

“ความร่วมมือกับโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติในครั้งนี้ เพื่อร่วมมือกันพัฒนา ส่งเสริม และขับเคลื่อนให้เกิดงานวิจัย นวัตกรรม และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เช่น เครื่องมือแพทย์ ซอฟต์แวร์ทางการแพทย์ เทคโนโลยีด้านการแพทย์แม่นยำ เวชภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ รวมถึงพัฒนาต่อยอดและผลักดันให้นำไปใช้ในทางปฏิบัติ  และเกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนำไปใช้ประโยชน์จริงในเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ซึ่งจะเป็นการเสริมความเข้มแข็งของการวิจัยขั้นสูงทางด้านการแพทย์ และผลักดันการพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยีทางการแพทย์ เพื่อนำไปสู่ธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ๆ ในประเทศ เพื่อสุขภาพคนไทยโดยคนไทย รวมถึงเพิ่มโอกาสการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการไทย และ startup ตามนโยบายโมเดล BCG ที่มุ่งขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนาเศรษฐกิจทางการด้านการแพทย์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศบนเวทีการค้าโลก” 

161353438960

161353440242

รองศาสตราจารย์ นายแพทย์พฤหัส  ต่ออุดม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ เป็นโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ระดับตติยภูมิชั้นสูงที่มีศักยภาพในการให้การรักษาได้ครบวงจรทุกสาขาวิชา รวมทั้งเป็นที่รับส่งต่อผู้ป่วยจากโรงพยาบาลอื่น ๆ ให้บริการทั้งประเภทผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน และผู้ป่วยฉุกเฉิน ซึ่งในปี 2563 มีจำนวนเตียงเฉลี่ย 741 เตียง จำนวนครั้งผู้ป่วยนอกมารับบริการเฉลี่ย 5,392 ครั้งต่อวัน อัตราครองเตียงผู้ป่วยในเฉลี่ยร้อยละ 71 ต่อเดือน โดยมุ่งเน้นในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาขับเคลื่อนให้มีความเป็นเลิศในด้านบริการสุขภาพ ด้านบริหาร และด้านวิชาการ และสามารถเป็นที่พึ่งของบุคลากร ประชาชน และสังคม ภายใต้วิสัยทัศน์ “โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ 4.0 มุ่งสู่องค์กรแห่งอนาคตเพื่อประชาชน

ในการลงนามความร่วมมือครั้งนี้ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ มุ่งหวังให้มีกระบวนการวิจัยร่วมกันในการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ขึ้นใหม่ รวมถึงพัฒนาต่อยอดจากของเดิม และผลักดันให้นำไปใช้ในทางปฏิบัติ หรือสามารถนำไปสู่เชิงพาณิชย์ โดยได้เริ่มจากโครงการพัฒนาอุปกรณ์ต้นแบบเพื่อติดตามตำแหน่งเครื่องมือแพทย์ด้วยแพลทฟอร์ม “อยู่ไหน (UNAI)”  และบันทึกการใช้พลังงานไฟฟ้าในโรงพยาบาลเพื่อทำระบบ Utilization Management ของงานเครื่องมือแพทย์ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการบริหารจัดการเครื่องมือแพทย์อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยคาดหวังว่าจะสามารถขยายผลไปสู่โรงพยาบาลกลุ่ม UHOSNET ที่ดำเนินการวิจัยต้นทุนร่วมกัน ทั้งนี้ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ พร้อมที่จะให้การสนับสนุนองค์ความรู้ทางการรักษาพยาบาล งบประมาณ บุคลากร รวมถึงเป็นแหล่งทรัพยากรในการเรียนรู้จากสถานที่และสถานการณ์จริง เพื่อให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ของความร่วมมืออันที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติสูงสุดต่อไป”