เอ็มจี 'เอชเอส พีเอชอีวี'... ในเมือง แทบไม่ต้องใช้น้ำมัน

เอ็มจี 'เอชเอส พีเอชอีวี'... ในเมือง แทบไม่ต้องใช้น้ำมัน

ได้ชื่อว่าเป็นรถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ในตลาดแมส (mass) รุ่นแรกในตลาดประเทศไทย สำหรับ “เอ็มจี เอชเอส พีเอชอีวี” หลังจากก่อนหน้านั้นตลาดนี้ครอบครองโดยรถจากยุโรปเป็นหลัก 

เอชเอส พีเอชอีวี มีรุ่นเดียว มาพร้อมค่าตัว 1.359 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่า เอชเอส ที่ใช้เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ซึ่งเปิดตัวก่อนหน้านั้น ไม่มากนัก โดยเอชเอส มี 3 รุ่นย่อย ราคา 9.19 แสนบาท-1.119 ล้านบาท

แต่พีเอชอีวี ก็มีออปชั่นเด่นใส่เข้ามาหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นจอแสดงผล 12 นิ้ว จอทัชสกรีน 10 นิ้ว เครื่องเสียง โบส เซอร์ราวด์ ภายในสีทูโทน (สำหรับตัวถังขาว) ส่วนตัวถังอื่น ภายในสีดำ ล้อแม็กลายใหม่ 18 นิ้ว พร้อมยางขนาด 235/50 R18 หลังคาพาโนรามิค ไฟหน้า แอลอีดี โปรเจคเตอร์ และไฟเลี้ยวที่โดดเด่นทีเดียวในตลาดนี้ กับไฟ แอลอีดี ซีเควนเชียล

161349647917

161349647989

หัวใจของระบบไฮบริด ทำงานร่วมกันระหว่าง เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยมีแหล่งเก็บพลังงานคือแบตเตอรีลีเธียม ไอออน ขนาด 16.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งถือว่าสูงพอควร สำหรับปลั๊ก-อิน ไฮบริด ทำให้มันขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้สูงสุด 67 กม. 

สำหรับเครื่องยนต์ ให้กำลังสูงสุด 162 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่ 1,700-4,300 รอบ/นาที ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 230 นิวตันเมตร 

161349647955

ส่วนการชาร์จไฟ ถ้าชาร์จด้วย เอ็มจี โฮม ชาร์จเจอร์ ที่แถมไปกับรถใช้เวลา 4 ชม. แต่ถ้าชาร์จด้วยสายเคเบิลที่แถมไปด้วยเช่นกันกับไฟบ้านใช้เวลา 5 ชม. อาจจะสงสัยว่าทำไมเวลาไม่ต่างกันมาก ก็เพราะว่าตัวรับของรถอยู่ที่ 2.3 กิโลวัตต์ชั่วโมง แม้ว่าโฮมชาร์จเจอร์จะปล่อยไฟ 7 กิโลวัตต์ชั่วโมงก็ตาม

161349647953

การลองใช้งานจริงในสภาพจราจรจริงจากถนนประดิษฐ์มนูธรรม เข้าพระราม 9 ผ่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ไปราชวิถี ข้ามสะพานซังฮี้ ออกถนนบรมราชนนี เข้าถนนพุทธมณฑลสาย 1  แบตเตอรีมาหมดในช่วงก่อนเข้าถนนราชพฤกษ์เล็กน้อย ได้ระยะทางประมาณ 56 กม.ถือว่าใช้ได้ น่าจะสามารถใช้งานในเมืองในชีวิตประจำวันได้โดยที่เครื่องยนต์แทบไม่ต้องทำงานเลย 

นั่นก็หมายความว่า จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายจากน้ำมันไปได้มากทีเดียว

เป็นการขับแบบใช้งานทั่วไปที่จราจรหนาตาพอควร มีทั้งความเร็วต่ำ ความเร็วค่อนข้างสูง และการเรียกกำลังเพื่อเร่งแซง แต่ไม่ได้ขับแบบกระชากกระชั้น กดคันเร่งแรงๆ แต่ก็ไม่ได้ขับแบบประคองตัว เพื่อไม่ให้เครื่องยนต์ทำงาน เรียกว่า ขับแบบปกติ

ซึ่งสมรรถนะของมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว รองรับการใช้งานสบายๆ อัตราเร่งเรียกว่ารวดเร็วทันใจด้วยซ้ำไป 0-100 กม./ชม. ในเวลา 7.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 155 กม./ชม. ซึ่งอัตราเร่งช่วยเพิ่มความคล่องตัวในเส้นทางรถหนาตาได้ดีครับ หลายคนน่าจะชอบกับอารมณ์ตรงนี้

ดังนั้นจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของการใช้งานในเมือง คือ ความเงียบของห้องโดยสาร มีเสียงมอเตอร์แว่วเข้ามาเบาๆ ให้ได้อารมณ์พลังงานไฟฟ้า ช่วยเพิ่มความโดดเด่อนของเครื่องเสียงคุณภาพดี 

และเมื่อถึงเวลาที่เครื่องยนต์ทำงาน มีเสียงเข้ามาในห้องโดยสาร ไม่ดังมากนัก แต่รับรู้ได้ และการทำงานร่วมกันก็ตอบสนองการขับขี่ได้ดี สรุปได้ว่าถ้าพูดถึงขุมพลัง สอบผ่าน ขับสนุก

ช่วงล่างออกแนวนุ่มๆ นั่งสบายๆ ขับสบายๆ ใครที่ชอบแบบสปอร์ตอาจจะอยากได้แข็งๆ แน่นๆ กว่านี้อีกหน่อย

แต่เอาจริงๆ นะครับ การใช้งานจริงเหรือเกินจริงด้วยซ้ำ ช่วงล่างก็เอาอยู่ แม้จะใช้ความเร็วพอควรในเส้นทางโค้ง เพียงแต่รับรู้ได้ถึงอาการโยนของตัวถังบ้างเท่านั้น 

161349647943

ในส่วนของของออปชั่นที่เกี่ยวข้องกับการขับขี่ และความปลอดภัยก็ให้มาแน่นคัน ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วยเตือนเมื่อเปลี่ยนเลน  ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู เมื่อมีรถมาจากด้านหลัง แต่ว่ามีเฉพาะประตูคู่หน้า

ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถจะออกนอกเลน ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist)

ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist) ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ เป็นต้น เอาเท่านี้ก่อนละกันครับ

เอาระบบที่ลองใช้งานจริงหลายระบบก็ทำงานได้ดี เช่น ACC เพราะปรับความเร็วตามรถคันหน้า เพิ่มความสะดวกได้มาก ซึ่งระบบนี้ทำงานที่ความเร็วตั้งแต่ 60 กม./ชม.ขึ้นไป 

ทีนี้ถ้าขับขี่ในเมืองจะใช้ตัวช่วยพวกนี้ได้ไหม คำตอบคือเราก็เปิดระบบ TJA ซึ่งมันจะทำงานที่ความเร็วต่ำกว่า 60 กม./ชม.พูดง่ายๆ คือ 2 ระบบนี้ทำงานเชื่อมต่อกัน ช่วยให้ผู้ขับลดความเมื่อยล้าได้ในทุกเส้นทาง จะขับเร็วหรือขับช้าก็ตาม 

161349647910

ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน ก็ช่วยได้บ้าง โดยระบบจะคุมรถให้ระหว่างกลางของเส้นแบ่งจราจรโดยผู้ขับแค่ประคองๆ พวงมาลัย ซึ่งจากการลองใช้ผมว่าถ้าเป็นช่วงความเร็วช้าๆ ถึงปานกลาง ระบบนี้ใช้ได้ดี แต่ถ้าความเร็วเริ่มสูงไม่เหมาะนัก เพราะการควบคุมทิศทางไม่นุ่มนวลนัก เปรียบกับการควบคุมพวงมาลัยของคนขับก็ประเทศหมุนแบบกระตุกๆ ไม่นุ่มนวลนั่นแหละครับ 

เมื่อมองดูในภาพรวม เทคโนโลยีที่ได้มาก ความประหยัดที่ได้มา หรือการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงออปชั่นที่แน่นคัน กับราคาระดับนี้ ใครที่สนใจก็เล่นได้เลยครับ