‘ประยุทธ์’ต้นตอทุกปัญหา ฝ่ายค้านโยนผิดแต่เพียงผู้เดียว

‘ประยุทธ์’ต้นตอทุกปัญหา  ฝ่ายค้านโยนผิดแต่เพียงผู้เดียว

สิ่งที่ พรรคร่วมฝ่ายค้าน ต้องการมากที่สุดคือการเปิดเผยข้อมูล การทุจริต การบริหารงานผิดพลาด เพื่อสร้างการรับรู้ของประชาชน ฉายภาพ พล.อ.ประยุทธ์ ต้นตอของทุกปัญหา

“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม คือเป้าหมายเบอร์หนึ่งของ “พรรคร่วมฝ่ายค้าน” ที่จะต้องชำแหละแผลเก่า-แผลใหม่ ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ

เนื่องจากตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ คือกล่องดวงใจของ “ขั้วรัฐบาล” แม้ไม่ได้ดำรงตำแหน่งภายใน พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แต่ทุกคนรู้ดีว่า พล.อ.ประยุทธ์ เปรียบเสมือนศูนย์รวมอำนาจของรัฐบาลชุดนี้

ฉะนั้นหากจะโค่นล้มรัฐบาลได้ พรรคร่วมฝ่ายค้าน จะต้องทิ่มแทง “กล่องดวงใจ” ชำแหละการบริหารงานให้ ส.ส.-ประชาชน เชื่อได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถบริหารประเทศได้อีกต่อไป ซึ่งถือเป็นโจทย์ยากของ พรรคร่วมฝ่ายค้าน เอง

ปมหลักที่ พรรคร่วมฝ่ายค้าน วางเอาเพื่อซักฟอก พล.อ.ประยุทธ์ การบริหารที่มักอ้างอิงสถานบันพระมหากษัตริย์ โดย พรรคก้าวไกล (ก.ก.) หมายมั่นปั้นมือใช้ปมดังกล่าวซักฟอก พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อชี้ให้เห็นการดำเนินการกับ “กลุ่มราษฎร” ที่ออกมาชุมนุม

พรรคก้าวไกล ออกตัวจองกฐิน พล.อ.ประยุทธ์ จัด ส.ส.ฝีปากกล้า ขออภิปรายปมสถาบันฯ โดยจะเน้นหนักไปที่การบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เอาผิด “กลุ่มราษฎร” ที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันฯ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาระบุเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2563 ว่า “เดิมเรามีกฎหมายอาญา มาตรา 112 อยู่ และไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้ อยากบอกคนไทยว่า วันนี้มาตรา 112 ไม่ได้ใช้เลย เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระเมตตา ไม่ให้ใช้ นี่คือสิ่งที่ท่านทรงทำให้แล้ว”

สิ้นเสียงของ พล.อ.ประยุทธ์ ทุกฝ่ายตีความว่าประตูของการพูดถึงสถาบันฯถูกเปิดออกแล้ว

ทว่าสถานการณ์การชุมนุมของ “กลุ่มราษฎร” มีประชาชนออกมาร่วมชุมนุมจำนวนมาก และข้อเรียกร้องของ “กลุ่มราษฎร” เมื่อ “แกนนำ” ยืนยันว่าการปฏิรูปสถานบันฯ คือหนึ่งในข้อเรียกร้องหลัก จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปราศรัยโจมตีสถานบันฯ

จาก 16 มิ.ย. 2563 ถึงวันที่ 19 พ.ย. 2563 ผ่านมาเพียง 4 เท่านั้น พล.อ.ประยุทธ์ ออกแถลงการณ์บังคับใช้กฎหมายทุกมาตรา รวมถึงมาตรา 112 ที่จะนำมาเอาผิด “แกนนำกลุ่มราษฎร”

เมื่อนำมาตรา 112 กลับมาบังคับใช้ ผลปรากฎว่า “แกนนำกลุ่มราษฎร” หลายสิบคนทยอยโดนแจ้งความเอาผิดตามมาตรา 112

ทั้งนี้ พรรคก้าวไกล จะถือเอาโอกาสใช้เวทีซักฟอก ต่อยอดการเสนอแก้กฎหมายคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออก 5 ฉบับ รวมถึงมาตรา 112 เพื่อทำความเข้าใจกับ ส.ส.ในสภา และ ประชาชนที่ติดตามรับฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ขณะเดียวกันจะฉายภาพการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มักจะนำสถาบันฯมาเกี่ยวข้อง โดยจะยกเคส วันที่ 27 ส.ค. 2562 พล.อ.ประยุทธ์ นำพระราชดำรัสที่เป็นลายพระราชหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานมาให้โชว์ต่อ สื่อมวลชน ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์กรณี “ถวายสัตย์” ก่อนเข้ารับตำแหน่งไม่ครบตามที่รัฐธรรมนูญปี 2560 กำหนดเอาไว้

อย่างไรก็ตามต้องจับตาว่าการอภิปรายที่จะเกี่ยวพันถึง สถาบันฯ จะสามารถทำได้หรือไม่ เพราะบรรดาองครักษ์พิทักษณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จ้องจะประท้วงเพื่อไม่ให้ พรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้อภิปรายแบบสบายๆอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้าน จะถล่มปมการบริหารจัดการการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะการระบาดระลอกสอง ที่เริ่มตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค. 2563 จนถึงปัจจุบัน เนื่องจากสาเหตุของการระบาดมาจาก “แรงงานต่างด้าว”

คำถามอยู่ทีว่า “แรงงานต่างด้าว” จากประเทศเมียนมา เข้ามายังตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นพื้นที่ศูนย์กลางการระบาดระลอกใหม่ เข้ามาแบบผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะหากเข้ามาตามขั้นตอนทางกฎหมาย จะถูกกักตัว 14 วัน ตามข้อกำหนดที่ศบค.วางเอาไว้ จึงจะปลอดภัย

เมื่อเกิดการระบาดระลอกใหม่ ซึ่งมีสาเหตุมาจาก “แรงงานต่างด้าว” จึงมีการตรวจสอบย้อนกลับไปถึง “ขบวนการค้าแรงงานเถื่อน” ซึ่งยากที่จะปฏิเสธว่าภายในประเทศไทยมีขบวนการดังกล่าวอยู่จริง

โดยปกติการนำเข้าแรงงานเถื่อน มักจะรู้กันตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งเป็นพื้นที่ตามแนวชายแดน อยู่ในความรับผิดชอบของ “ทหาร” กลางทางซึ่งเป็นขั้นตอนการขนส่ง อยู่ในความรับผิดชอบของ “ตำรวจ” ปลายทางซึ่งเป็นพื้นที่ที่แรงงานต่างด้าวทำงาน อยู่ในความรับผิดชอบของ “ฝ่ายปกครอง”

เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ มีหน้าที่กำกับอยู่กระทรวงกลาโหม กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้เช่นกัน เนื่องจากการแพร่ระบาดระลอกสอง เกิดมาจาก “แรงงานต่างด้าว” จริงๆ

ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ ยังตกเป็นจำเลยการแพร่ระบาดโควิด-19 ในบ่อนการพนัน จ.ระยอง ไปด้วย เนื่องจากเป็นผู้ควบคุมดูแลสำนำงานตำรวจแห่งชาติ แถมยังถูกเชื่อมโยงสายสัมพันธ์กับ “เจ้าของบ่อนพนัน” อย่าง “หลงจู้สมชาย”

แม้ “หลงจู้สมชาย” จะโดนเข้าค้นบ้านพักส่วนตัว และโดนแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดี รวมไปถึง “เสี่ยโป้ อานนท์” ที่ว่ากันว่าเป็นลูกน้องคนสนิทของ “หลงจู้สมชาย” แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จะโดนโจมตีกรณีแต่งตั้งโยกย้าย “นายตำรวจ” ในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 2 ที่มี “คนสนิท” ผู้ยิ่งใหญ่ในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 2 เป็นคนจัดทำโผเกือบทั้งหมด

โดยการแต่งตั้งโยกย้าย “นายตำรวจ” ในพื้นที่จ.ชลบุรี จ.ระยอง มีการโยกย้าย “นายตำรวจ” ที่ไม่ใช่สายตรงของ “พล.ต.ท. จ.” ออกจากพื้นที่เกือบทั้งหมด เพื่อเปิดทางให้สายใหม่เข้ามาบริหารจัดการในพื้นที่

เมื่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่จ.ระยอง เริ่มจากบ่อนการพนัน พล.อ.ประยุทธ์ จึงปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้อีกเช่นกัน

ขณะที่การบริหารจัดซื้อ “วัคซีนโควิด-19” จะเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ พรรคร่วมฝ่ายค้าน ตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพการบริหารงานของรัฐบาล เพราะหากเช็คลิสต์ประเทศในอาเซียนเกือบทุกประเทศ ได้รับวัคซีนมาฉีดให้ประชาชนภายในประเทศแล้ว

ขณะที่ประเทศไทย แม้จะมีกำหนดการอย่างแน่ชัดแล้วว่าจะมีการนำเข้าวัคซีนภายในเดือน ก.พ. และจะเริ่มฉีดในเดือน มี.ค. แต่การล่าช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องตอบว่ามีเหตุผลมาจากอะไร

รวมถึงการทำสัญญาจัดซื้อวัคซีนจาก แอสตร้าเซนเนกา ที่คัดเลือก บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ เป็นผู้ร่วมผลิตและแจกจ่ายวัคซีน ยังถูกกดดันให้เปิดสัญญาการซื้อขาย

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังโดน พรรคร่วมฝ่ายค้าน ตั้งข้อกล่าวหาเอื้อประโยชน์ให้กับ “กลุ่มนายทุน” แต่ข้อมูลส่วนใหญ่ยังไม่มีข้อมูลที่แตกต่างออกไปจากการอภิปรายเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากในช่วงปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์-รัฐบาล หมดไปกับการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19

ศึกซักฟอกครั้งนี้หาก พรรคร่วมฝ่ายค้าน มุ่งมั่นที่จะโค่น พล.อ.ประยุทธ์ แต่หากนับคะแนนเสียงโหวตในสภา ที่พรรคร่วมรัฐบาลกุมเสียงข้างมากอยู่ที่ 275 เสียง ขณะที่ พรรคร่วมฝ่ายค้าน มีเพียง 212 เสียง โอกาสล้ม พล.อ.ประยุทธ์ แทบไม่มี

แต่สิ่งที่ พรรคร่วมฝ่ายค้าน ต้องการมากที่สุดคือการเปิดเผยข้อมูล การทุจริต การบริหารงานผิดพลาด เพื่อสร้างการรับรู้ของประชาชน