'บริษัทไทย'ติดโผความยั่งยืน ระดับโกลด์คลาส 11 แห่งสูงสุดในโลก

'บริษัทไทย'ติดโผความยั่งยืน ระดับโกลด์คลาส 11 แห่งสูงสุดในโลก

ตลาดหลักทรัพย์ฯหนุนบริษัทไทยติดอันดับความยั่งยืนมากขึ้น หนุนนักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุน“เอสแอนด์พี โกลบอล”ประกาศ รายงานความยั่งยืนพบบริษัทไทยอยู่ในระดับโกลด์ คลาส 11 บริษัทสูงสุดในโลก

S&P Global ได้จัดทำรายงานความยั่งยืนประจำปี 2564 ( The Sustainability Yearbook 2564 )โดยแสดงรายชื่อบริษัทสะท้อนผลการประเมินในรูปแบบ Gold, Silver, bronze Industry mover และ member   โดยมีบริษัทอยู่ใน The Sustainability Yearbook  2564 จำนวน 631 บริษัท จำนวน 40 ประเทศ   ซึ่งมีบริษัทไทย 29 บริษัท (รวม Thai BEV) อยู่ใน The Sustainability Yearbook 2021 มากเป็นอันดับ 7 ของโลก  และพบว่ามีบริษัทไทยอยู่ระดับ Gold class (รวม Thai BEV) มากที่สุด 11 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)หรือ  BANPU,บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน )หรือ BTS,บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)หรือ  IRPC,บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)หรือ PTTEP, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)หรือ PTTGC, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)หรือ PTT, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP,บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU,บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC,บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE,  และบริษัทไทยเบฟ(Thai BEV)

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ  ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทติดอันดับ The Sustainability Yearbook ของ S&P Global จำนวน 29 บริษัท ซึ่งมากกว่าปีที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯพยามสนับสนุนให้มีบริษัทเข้ามากขึ้น เพราะ เป็นจุดขายของบริษัทไทยเรื่องคุณภาพ ตลาดหลักทรัพย์ฯจะพยามโปรโมทเรื่องนี้ 

ทั้งนี้บริษัทอยู่ระดับ Gold classถึง 11 บริษัทสูงสุดในโลก จากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯได้พยายามให้บริษัทมีการให้ข้อมูลและทำในเรื่องที่นักลงทุนทั่วโลกให้น้ำหนัก เช่น ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล  ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯได้ทำเรื่องดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2540  ทำให้บริษัทจดทะเบียนไทย และบริษัทไทยมีการพัฒนาและทำเรื่องดังกล่าวได้ดีมากขึ้น จึงทำให้ผู้ประเมินให้คะแนนบริษัทไทยที่ค่อนข้างสูง 

อย่างไรก็ตามชื่อว่าจากที่บจ.ไทย ได้มีการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวแล้ว และมีชื่ออยู่ในThe Sustainability Yearbook และ ดัชนี DJSI นั้น สะท้อนบริษัทไทยมีคุณภาพ  ทำให้นักลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนมากขึ้น เพราะ ปัจจุบันนักลงทุนต่างประเทศให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพมากขึ้นเรื่อยๆซึ่ง เป็นเรื่องที่ดี และอยากสนับสนุนให้บริษัทไทยทุกขนาดและทุกอุตสาหกรรม ได้มีการให้ข้อมูลในเรื่องดังกล่าวมากขึ้น เพราะเป็นจุดที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกให้น้ำหนักในการลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น

 "ขณะนี้บริษัทที่ติดอันดับในดัชนี DJSI และ The Sustainability Yearbookจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ก่อน แต่จากนี้พยามสนับสนุนให้บริษัทที่มีขนาดรองลงมาและให้หลากหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น แต่ต้องทำให้ได้ตามหลักความเหมาะสม และมีความหมาย บางเรื่องบริษัทอาจไม่ต้องทำเหมือนกันหมดแต่มในด้านที่ธุรกิจตัวเองเกี่ยวข้องต้องก็ควรให้ความสำคัญและให้น้ำหนักตรงนั้น"