หัวเว่ย จุดพลุ ‘ดิจิทัล’ กลไกหลักฟื้นฟูสู่ 'โลกสีเขียว'

หัวเว่ย จุดพลุ ‘ดิจิทัล’ กลไกหลักฟื้นฟูสู่ 'โลกสีเขียว'

การเปลี่ยนผ่านเชิงดิจิทัลจะนำไปสู่การลดใช้พลังงานที่ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

“เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าการนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้เพื่อช่วยอนุรักษ์โลกของเราเป็นสิ่งจำเป็น เราได้เห็นภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชนหันมาให้ความสำคัญกับปัญหาด้านธรรมชาติและภาวะโลกร้อนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหัวเว่ยเชื่อมั่นว่าศักยภาพของเราไม่ได้จำกัดอยู่แค่การผลักดันเทคโนโลยีให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการผลักดันศักยภาพของสังคมโลก และมุ่งมั่นอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนด้วยเช่นกัน”

“ดิจิทัล” คำตอบสิ่งแวดล้อมโลก

บรรดาผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานนานาชาติต่าง เห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า เทคโนโลยีดิจิทัล คือ คำตอบของปัญหาสิ่งแวดล้อมปัจจุบัน โดย "ยอน ชุล ยู" ทูตภาวะโลกร้อนจากกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐเกาหลี มองว่า การพัฒนาของเทคโนโลยีจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตมนุษย์ในแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในเวลา 20 ปีต่อจากนี้ ซึ่งการเปลี่ยนผ่านเชิงดิจิทัลจะนำไปสู่การลดการใช้พลังงานที่ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลงทุนด้านเทคโนโลยีต่อเนื่อง เพื่อวางอนาคตที่สดใสให้แก่เยาวชนรุ่นถัดไป 

ทั้งยังมองว่า ทุกภาคส่วนต้องทำความเข้าใจและมองหาโอกาสจากสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ต้องเกิดจากความร่วมมือกันของทุกฝ่ายเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

เช่นเดียวกับ “อาซาด นาควี” หัวหน้าฝ่ายเลขานุการ โครงการ The Partnership for Action on Green Economy (PAGE) ของสหประชาชาติ ที่กล่าวถึงบทบาทของเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีผลต่อการฟื้นฟูสู่โลกสีเขียวว่า "โครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีถือเป็นสิ่งสำคัญมากในขณะนี้ เพราะทุกอย่างจะปรับเปลี่ยนสู่การเป็นดิจิทัลทั้งหมด ข้อมูลจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ และการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องพึ่งเทคโนโลยีดิจิทัล และเอไอ

ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าภาครัฐในหลายประเทศให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น “ไทย” เองเป็นหนึ่งในประเทศที่อนุมัติแผนการพลิกฟื้นและพัฒนาเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม “Green Recovery” ตอนนี้มีโอกาสตัดสินใจว่าจะให้อนาคตต่อจากนี้เป็นอย่างไร และสามารถใช้โอกาสนี้ เพื่อรีเซ็ตโมเดลธุรกิจหรือวิถีชีวิตใหม่อย่างยั่งยืน

ขณะที่ เมิง หลิว หัวหน้าโครงการ UNGC สาขาภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย กล่าวว่า ความต้องการใช้งานโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและข้อมูลจะเป็นสิ่งสำคัญมากในโลกยุคหลังโควิด สังเกตจากในปัจจุบันที่พวกเราหันมาใช้โปรแกรมประชุมออนไลน์ เช่น Zoom มากขึ้น ผลศึกษาจากสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ระบุว่า ต้องใช้เงินทุนราว 428,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อให้คน 3,000 ล้านคนที่เหลือทั่วโลกเชื่อมต่อถึงกันได้ภายในปี 2573 งบประมาณการลงทุนก้อนนี้มาจากภาคเอกชน 70% ซึ่งควรให้ความสำคัญในการทำให้โครงสร้างพื้นฐานทั้งโครงข่ายและดิจิทัลเป็นไปอย่างยั่งยืน

เอกชนหนุนเทคฯเพื่อความยั่งยืน

ผู้บริหาร หัวเว่ย ให้ข้อมูลเพิ่มว่า บริษัทเทคโนโลยีบางราย ริเริ่มโครงการพัฒนาที่ด้านสิ่งแวดล้อมไปบ้างแล้ว หัวเว่ยได้ปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินการขององค์กรไปแล้วหลายโครงการในปัจจุบัน เพื่อให้ตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืน เช่น ลดจำนวนการใช้กระดาษกว่า 350 ตัน ลดการใช้พลังงานกว่า 60% ในระบบหลังบ้านของโซลูชันต่างๆ รวมถึงใช้แผงโซล่าเซลล์ผลิตพลังงานมากกว่า 6 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงในเขตปกครองตนเอง หนิงเซี่ยหุย เป็นต้น 

ในปีนี้ หัวเว่ยยังคงมุ่งหน้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และหันมาใช้พลังงานทดแทนเพื่อรองรับเศรษฐกิจที่ยั่งยืนต่อไป ต่อยอดไปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ 5จี ให้ใช้พื้นที่น้อยลง ใช้ไฟน้อยลง รวมถึงพัฒนาระบบคลาวด์ และเอไอให้ใช้งานง่ายขึ้นสำหรับพาร์ทเนอร์และภาคอุตสาหกรรมทุกฝ่าย เพื่อให้สามารถสร้างผลิตภัณฑ์หรือโซลูชันที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะวิถีการฟื้นฟูที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องของทุกประเทศ ทุกองค์กร และประชาชนทุกคน เราจึงจำเป็นต้องจับมือเพื่อร่วมกันสร้างโลกที่สวยงาม ล้ำสมัย และเท่าเทียมให้เกิดขึ้นต่อจากนี้