'เอเชีย กรีน เอนเนอจี' รุกโลจิสติกส์-บุกต่างประเทศ โตเพิ่มปี 64

'เอเชีย กรีน เอนเนอจี' รุกโลจิสติกส์-บุกต่างประเทศ โตเพิ่มปี 64

AGE ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ธุรกิจโลจีสติกส์ ปี 64 แตะ 600- 700 ล้านบาท พร้อมขยายทีมงาน รุกต่างประเทศเพิ่ม เล็งเจาะตลาดใหม่ฟิลิปปินส์ และอินเดีย ปั๊มปริมาณขายถ่านหินเข้าเป้า 5.5 ล้านตัน

นางสาวปณิตา ควรสถาพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) หรือ AGE เปิดเผยว่า ในปี 2564 บริษัท ตั้งเป้าหมายจะเพิ่มรายได้ธุรกิจโลจีสติกส์ เป็น 600-700 ล้านบาท จากปี 2563 ทำรายได้อยู่ที่ประมาณ 300 ล้านบาท โดยจะรุกเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมหนัก ที่มีความต้องการใช้รถบรรทุกในการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น ดังนั้น ในปีนี้ บริษัท จึงมีแผนที่จะซื้อรถบรรทุกเพิ่มขึ้น ส่วนเรือขนส่งสินค้า ยังคงปริมาณเท่าเดิมที่ 36 พวง

“ที่ผ่านมาธุรกิจโลจีสติกส์ ทำรายได้ค่อยข้างดี ตกปีละ1,000 ล้านบาท แต่ส่วนใหญ่ประมาณ 700 ล้านบาทเป็นการซัพพอร์ตในกลุ่มบริษัท และเมื่อปรากฏในงบการเงินจะเห็นรายได้แค่ 300 ล้านบาทจากการซัพพอร์ตภายนอก ฉะนั้นปีนี้ เราจะเน้นเจาะตลาดข้างนอกกลุ่มบริษัทมากขึ้น พร้อมเน้นการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ไม่ให้เกิดการตีรถเปล่า เช่น เมื่อรถไปส่งถ่านให้ลูกค้าแล้ว ก็อาจรับขนเม็ดปูนไปโหลดลงเรือให้กับลูกค้า เป็นต้น”

นอกจากนี้ ในส่วนของธุรกิจถ่านหิน บริษัท มีแผนที่จะขยายทีมงานในต่างประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อเข้าไปหาลูกค้าเพิ่มเติมในประเทศที่เป็นคู่ค้าเดิมอยู่แล้ว ทั้ง จีน เวียดนาม ไตหวัน กัมพูชา ซึ่งจะเห็นว่าตั้งแต่ปี 2563 บริษัทได้รุกขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มทำให้ปริมาณการขายเติบโตขึ้น และปีนี้ก็จะรุกตลาดเพิ่มขึ้นอีก เพื่อเพิ่มรายได้ในส่วนนี้ ขณะเดียวกันยังมองโอกาสเข้าไปเจาะตลาดใหม่ๆ เพิ่ม เช่น ฟิลิปปินส์ และอินเดีย ซึ่งในส่วนของฟิลิปปินส์ ขณะนี้เริ่มมีลูกค้าในมือแล้ว ส่วนอินเดีย ก่อนหน้านี้บริษัทเคยเข้าไปทำตลาดแล้ว แต่ก็หยุดไป และปีนี้ก็จะลองกลับเข้าไปทำตลาดอีกครั้ง ขณะที่เมียนมา ก็มีการทำตลาดอยู่บ้าง และคาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเมียนมาแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม จากแผนขยายการเติบโตในธุรกิจโลจีสติกส์ และธุรกิจถ่านหินดังกล่าว ทำให้บริษัทมั่นใจว่า จะสนับสนุนผลการดำเนินงานในปีนี้ให้เติบโตต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้รวม แตะระดับ 11,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่คาดว่าจะทำรายได้ระดับ 8,000 ล้านบาท ซึ่งรายได้ที่เติบโต จะมาจากการเพิ่มสัดส่วนปริมาณการขายถ่านหิน แตะระดับ 5.5 ล้านตัน จากปี 2563 ที่คาดว่าจะทำยอดปริมาณการขาย อยู่ที่กว่า 4 ล้านตัน ทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้อยู่ที่ 3.5 ล้านตัน โดยสัดส่วนปริมาณการขายถ่านหินที่ 5.5 ล้านตันนั้น ในส่วนนี้จะเป็นยอดขายต่างประเทศประมาณ 30% เติบโตขึ้นจากปี 2563 ที่มีสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ประมาณ 15%

สำหรับงบลงทุนในปี 2564 บริษัท มีแผนจะใช้เงิน 100 ล้านบาท เพื่อซื้อรถบรรทุกสินค้าเพิ่มเติม รวมถึงแผนการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายท่าเรือที่ 4 และจัดซื้อเครื่องมือหนัก เป็นต้น

นอกจากนี้ ในส่วนของธุรกิจพลังงาน ภายใต้การดำเนินงานผ่านบริษัทร่วมทุนคือ บริษัท แอท เอนเนอจี โซลูชั่น จำกัด ปัจจุบันมีการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ ขนาด 5 เมกะวัตต์ (MW) และโครงการการขายไอน้ำ ให้กับลูกค้า 2 ราย ขนาดเตา Boiler รวม 16 ตัน รวมถึงยังคงอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนในโครงการขายไอน้ำ และโครงการลงทุนโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมอีกหลายโครงการ ทั้งเชื้อเพลิงชีวมวล และโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน เป็นต้น

นางสาวปณิตา กล่าวอีกว่า บริษัท มองว่าธุรกิจถ่านหินยังเป็นธุรกิจที่มีอนาคตอีกไกล และในระยะสั้นยังเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 10 ปี เนื่องจากประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ยังมีความต้องการใช้เชื้อเพลิงราคาถูก และปัจจุบันยังไม่เห็นว่าจะมีเชื้อเพลิงประเภทใดที่มาแข่งขันกับถ่านหินได้ ขณะเดียวกันเวียดนาม และอินเดีย ก็มีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนการใช้ถ่านหินเติบโตขึ้น ดังนั้น หากบริษัท เริ่มเล็งเห็นว่าจะมีเชื้อเพลิงประเภทใดที่สามารถเข้ามาแข่งขันด้านต้นทุนกับเชื้อเพลิงถ่านหินได้ บริษัทก็พร้อมที่จะปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจใหม่ในอนาคต