SCGP อนุมัติจ่ายปันผล ปี 63 ที่ 0.45 บาทต่อหุ้น

SCGP อนุมัติจ่ายปันผล ปี 63 ที่ 0.45 บาทต่อหุ้น

SCGP แจ้งบอร์ดอนุมัติจ่ายปันผลผู้ถือหุ้นปี 63 ที่ 0.45 บาทต่อหุ้น หรือ 30% ของกำไรสุทธิ กำหนดจ่ายปันผล 22 เม.ย.64

   ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด(มหาชน)(SCGP) ได้มีมติ อนุมัติการจ่ายเงินปันผล ของผลการดำเนินงานปี 2563 ในอัตราหุ้นละ 0.45 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 1,932 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 30% ของกำไรสุทธิ

    โดยจ่าย จากกำไรที่ เสียภาษีในอัตราดังนี้ จำนวน 0.05 บาทต่อหุ้น จ่ายจากกำไรที่เสียภาษีในอัตรา 30 % ซึ่งผู้ถือหุ้นประเภทบุคคล ธรรมดาสามารถขอเครดิตภาษีคืนได้1 เท่ากับเงินปันผลคูณ 30/70

   ขณะที่อีก 0.40 บาทต่อหุ้นจ่ายจากกำไรที่เสียภาษีในอัตรา 20 %  ซึ่งผู้ถือหุ้นประเภทบุคคล ธรรมดาสามารถขอเครดิตภาษีคืนได้1 เท่ากับเงินปันผลคูณ 20/80

   ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวให้จ่ายแก่ผู้ถือหุ้นเฉพาะผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามข้อบังคับบริษัท ตามที่ปรากฏรายชื่อ วันกำหนดรายชื่อผู้ มีสิทธิรับเงินปันผล ในวันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 (จะขึ้น เครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันพุธที่ 7 เมษายน 2564)

   โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลใน วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน 2564 และให้รับเงินปันผลภายใน 10 ปี ทั้งนี้จะมีการกำหนดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 (ครั้งที่ 28) ในวันอังคารที่ 30 มีนาคม 2564 เวลา 09:00 .

​      นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของทั้งปี 2563 แม้ต้องเผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจและการระบาดของโรค COVID-19บริษัทฯ ยังคงรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

     โดยมีรายได้จากการขาย 92,786 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากปีก่อน กำไรสุทธิ 6,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 จากปีก่อน และมี EBITDA (กำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย

      ไม่รวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม และรวมกำไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของเงินกู้ยืมตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ของปี 2562) เท่ากับ 16,876ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากปีก่อน ซึ่งมีปัจจัยมาจากการนำเสนอโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลาย การบริหารต้นทุน วัตถุดิบ และซัพพลายเชนที่มีการปรับพอร์ตการผลิตสินค้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ การขยายฐานธุรกิจบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำ (Downstream) และการควบรวมกิจการ (Merger & Partnership หรือ M&P) เพื่อขยายฐานธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงการแลกเปลี่ยนจุดแข็งและสร้างประโยชน์จากการผนึกพลัง (Synergy) กับ PT Fajar Surya Wisesa Tbk. และ Visy Packaging (Thailand) Limited

     สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 4 ปี 2563 เติบโตอย่างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเช่นกัน โดยมีรายได้จากการขาย 23,596 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิ 1,486 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมี EBITDA เท่ากับ 4,211 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่มากขึ้นในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค และบรรจุภัณฑ์อาหาร (Foodservice Packaging) โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปลายปี รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศอินโดนีเซีย

    อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์โรคระบาดในบางประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) สินค้าอุปโภคบริโภค การขยายตัวของอีคอมเมิร์ซ การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์อาหารที่มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อยอดขายบรรจุภัณฑ์ของ SCGPในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา

     โดยช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา SCGP ได้เข้าลงทุนใน Bien Hoa Packaging Joint Stock Company (SOVI) ในประเทศเวียดนาม เพื่อการขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำและเสริมความแข็งแกร่ง ด้วยการบูรณาการกับธุรกิจบรรจุภัณฑ์ต้นน้ำของ SCGP ในประเทศเวียดนาม และการลงทุนล่าสุดใน Go-Pak UK Limited (Go-Pak) ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารชั้นนำ

     ซึ่ง จะส่งผลให้ SCGP สามารถขยายตลาดใหม่ในสหราชอาณาจักร ยุโรปและอเมริกาเหนือ เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้การขยายธุรกิจใน SOVI และ Go-Pak จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพการนำเสนอบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรและเพิ่มรายได้ให้ SCGP กว่า 5,000 ล้านบาทต่อปี