" ปตท." ภายใต้ธงรบใหม่    ท่ามกลางธุรกิจถูกท้าทาย

 " ปตท." ภายใต้ธงรบใหม่     ท่ามกลางธุรกิจถูกท้าทาย

ความฮอตและกระแสแรงของการจองซื้อหุ้นไอพีโอ บริษัท ปตท. น้ำมัน และการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR   ที่กำลังเตรียมเข้าตลาดหุ้นในเดือนก.พ . นี้ กลายเป็นที่ต้องการของนักลงทุกรายย่อย และบรรดากองทุน จากบรรยาศแย่งสิทธิจนเว็บไซต์ธนาคารหลัก 3 แห่งล่ม

ตามกำหนดการจองของ OR สำหรับรายย่อย 24- 2 ก.พ. 2564 (ถึงเวลา  12.00  น.)  ซึ่งจะรู้ผลการจัดสรรหุ้น 6 ก.พ. 2564  และในส่วนของผู้ถือหุ้น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT   มีสิทธิจองซื้อหุ้น 25- 28 ม.ค.2564 (ถึงเวลา 16.00 น.)  จากนั้นจะมีการประกาศผลการจัดสรรหุ้น 3 ก.พ. 2564 

ตัวเลขดังกล่าวที่ออกมาจะมีผลบวกต่อหุ้น PTT โดยตรงเต็มๆ จากการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่  75 %   ซึ่งจะส่งผลทำให้รับรู้มูลค่าหุ้น OR ที่จะเข้ามาเพิ่มมาร์เก็ตแคปในกลุ่ม รวมไปกำไรจากธุรกิจค้าปลีกผ่านการถือหุ้น

ตามวัตถุประสงค์การระดมทุนเพื่อใช้ขยายธุรกิจระหว่างปี 2564-2567 หลักๆจะเป็นการขายเครือข่ายสถานีบริการ  ขยายธุรกิจสำหรับตลาดพาณิชย์  ค้าปลีก  ที่เหลือเป็นลงทุนคลังและศูนย์กระจายสินค้า และลงทุนในธุรกิจต่างประเทศ ทำให้ธุรกิจดังกล่าวมีภาพการเติบโตชัดเจนขึ้นไม่อยู่ภายใต้ร่มเงาของ PTT

ขณะที่บริษัทแม่ย่อมเผชิญการโจทย์ธุรกิจที่ท้าท้ายมากขึ้น ท่ามกลางพลังงานสะอาดเข้ามามีบทบาท  เทคโนโลยีดิจิทัลที่จะมีการต่อยอดธุรกิจรูปแบบใหม่ และการระบาดของโควิด-19 ที่การเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคเห็นชัดเจนขึ้น

ตามแผนงานของ PTT  ที่จะเดินหน้าจากนี้ไปต้องทำให้เสาหลักของแต่ละธุรกิจตามกระแสโลกให้ทันเพราะเห็นแล้วว่าธุรกิจน้ำมัน(ฟอสซิล)เจอแรงกระทบที่ผ่านมาทั้งความต้องการหายไป เกิด stock loss demand  มาร์จิ้นลดลง  และสุดท้ายตัวเลขกำไรที่ทรุด

เมื่อแบ่งตามธุรกิจกลุ่มก๊าซธรรมชาติผ่านบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP มีแผนที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ด้วยเป้าหมายลดต้นทุนต่อหน่วย (unit cost) ให้อยู่ที่ระดับ 25 ดอลลาร์/บาร์เรล จากเดิมอยู่ที่ 31 ดอลลาร์/บาร์เรล  เพื่อลดผลกระทบเรื่องมาร์จิ้นที่ลดลงได้

ธุรกิจใหม่ ๆ ในกลุ่ม Life science โฟกัสใน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจยา, ธุรกิจ Nutrition และ ธุรกิจอุปกรณ์การแพทย์   กลุ่ม Digitalization ศึกษาและพัฒนานวัตกรรมด้านคลาวด์และดิจิทัล

ธุรกิจในกลุ่มโลจิสติกส์ เริ่มมีการลงนามบันทึกข้อตกลงระหว่างการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ศึกษาโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งตู้สินค้าในท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) รองรับความต้องการการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในอนาคต โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ

ร่วมมือกับ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ในส่วนโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) ระยะที่ 3 (ท่าเทียบเรือ F) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มโลจิสติกส์ด้วย และยังมีโอกาสได้สิทธิเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ด้วย

และสุดท้ายนธุรกิจใหม่ในกลุ่มพลังงานใหม่ (New Energy) พัฒนาแบตเตอรี่รองรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เตรียมสถานีอัดประจุไฟฟ้า (EV Charging Station) เพื่อรองรับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นการดำเนินการโดยบมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ที่ติดตั้ง EV Charging Station แล้ว 25 แห่ง

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ (ประเทศไทย) ประเมินการเติบโตของ PTT คาดการณ์ กำไรสุทธิปี 2564/2565 เพิ่มขึ้นจากเดิม +7%/+8% ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนการปรับสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ BRENT ปี 2564 เป็น 55 ดอลลาร์/บาร์เรล (เดิม 45 ดอลลาร์/บาร์เรล) และปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2564/2565 ขึ้นสะท้อนสมมติฐานราคาน้ำมันดิบใหม่

แนะนำซื้อ และให้ PTT เป็นหุ้น Top pick ในกลุ่มพลังงานมูลค่าหุ้น เพิ่มขึ้นเป็น 50 บาท (เดิม 46.50 บาท)  เนื่องจาก 1) ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบฟื้นตัว, 2) อุปสงค์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนก๊าซลดลง, 3) ปริมาณขายก๊าซเพิ่มขึ้นในระยะยาว โดยโครงการโรงไฟฟ้าที่เมียนมา 600 MW เป็นโครงการหนึ่งที่ช่วยหนุน, 4) สเปรดปิโตรเคมีแข็งแกร่ง โดยเฉพาะสายโอเลฟินส์, 5) มูลค่าเงินลงทุนสูงขึ้นเมื่อนำ OR เข้าจดทะเบียนในตลาด และ6) มีการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจดี