‘ไบเดน’ กับความเน่าเหม็นของ ‘ทรัมป์’

‘ไบเดน’ กับความเน่าเหม็นของ ‘ทรัมป์’

หลังจาก "โจ ไบเดน" เข้าสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการต่อจากโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกคำสั่งหลายประการเพื่อเร่งแก้วิกฤติที่สหรัฐเผชิญอยู่

บทความนี้เขียนก่อน “โจ ไบเดน” จะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐต่อจาก “โดนัลด์ ทรัมป์” เมื่อเที่ยงคืนวันพุธเวลากรุงเทพฯ ข้อมูลมาจากหลากหลายแหล่งรวมทั้งรายงานของสื่อว่าไบเดนจะสั่งให้รัฐบาลทำอะไรทันทีหลังเสร็จพิธีสาบานตน เนื่องจากสหรัฐกำลังเผชิญกับวิกฤติแสนสาหัส คำสั่งส่วนใหญ่จะมุ่งไปที่การแก้วิกฤตินั้น โดยเฉพาะด้านการระบาดของโควิด-19 และด้านเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดี มีสองฉบับที่เกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อม นั่นคือรัฐบาลอเมริกันจะกลับเข้าร่วมข้อตกลงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศแห่งนครปารีส และจะให้ยุติการสร้างท่อส่งน้ำมันขนาดใหญ่จากแคนาดาไปยังทางตอนใต้ของสหรัฐ

เมื่อเทียบกับด้านการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ชาวอเมริกันตายแบบใบไม้ร่วงและด้านเศรษฐกิจที่มีคนตกงานและอดอยากนับสิบล้านคน ด้านสิ่งแวดล้อมดูจะไม่สร้างปัญหาใหญ่ที่ต้องการความใส่ใจแบบเร่งด่วน แต่ไบเดนเห็นว่าสำคัญมาก เนื่องจากในช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ทรัมป์ได้รื้อถอนนโยบายและมาตรการสำคัญๆ ด้านการพิทักษ์สิ่งแวดล้อมออกไปจำนวนมาก

นอกจากนั้น การถอนตัวออกจากข้อตกลงแห่งนครปารีสตามคำสั่งของทรัมป์ ยังทำให้สถานะผู้นำโลกของสหรัฐถูกทำลายอย่างย่อยยับอีกด้วย ไบเดนปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะรื้อฟื้นสถานะนั้นให้กลับคืนมา อันเป็นเสมือนการล้างความเน่าเหม็นที่ทรัมป์ทำให้เกิดขึ้นบนเวทีโลก

มองจากนโยบายที่ไบเดนแถลงออกมาและบุคลากรที่เขาเสนอแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหลักๆ ในองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม อาจสรุปได้ว่าไบเดนจริงใจในการพิทักษ์สิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ดี มีคำถามว่าหลังจากล้างความเน่าเหม็นที่ทรัมป์ทำไว้แล้ว บทบาทของสหรัฐจะทำให้ภาวะด้านสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ ทั้งในระดับประเทศสหรัฐเองและในระดับโลก สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่จะนำไปสู่คำตอบ

ในช่วงเวลาเกือบปีที่ความสนใจของชาวโลกไปรวมกันอยู่ที่การระบาดของโควิด-19 องค์การสหประชาชาติออกมาย้ำเตือนอีกว่า มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่ประเทศต่างๆ กำลังดำเนินอยู่นั้นจะไม่เพียงพอสำหรับป้องกันมิให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นต่อไป จนทำให้มนุษย์ส่วนใหญ่อยู่ต่อไปได้อย่างยากลำบากยิ่ง

การประเมินขององค์การสหประชาชาติครั้งล่าสุด มิได้รวมนโยบายของสหรัฐ แต่มองได้ว่าการรวมสหรัฐเข้าไปหลังจากไบเดนนำสหรัฐกลับเข้าร่วมข้อตกลงแห่งนครปารีสจะไม่ทำให้ข้อสรุปเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ แม้นโยบายของไบเดนจะทำให้ภาวะด้านสิ่งแวดล้อมภายในสหรัฐดีกว่าสภาพที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีต่อไปอีก 4 ปีก็ตาม

ปัจจัยที่นำไปสู่ข้อสรุปเช่นนี้ ได้แก่ หลักยึดของชาวอเมริกันส่วนใหญ่ยังมุ่งไปที่การบริโภค หรือการใช้ทรัพยากรเพิ่มขึ้นต่อไปแบบไม่มีที่สิ้นสุด

อนึ่ง คอลัมน์นี้เคยอ้างถึงข้อมูลที่ชี้บ่งว่าชาวอเมริกันราว 25% ไม่ยึดหลักที่จะต้องบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องชีวิตจึงจะประสบความสำเร็จ หรือเป็นผู้ที่รู้จักพอ ชุมชนอามิสที่ปฏิเสธเทคโนโลยีร่วมสมัย รวมทั้งไฟฟ้าและเครื่องจักรกลเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุด นอกจากนี้ยังมีชุมชนของคนต่างความคิดที่ไม่เดินตามหลักยึดของคนส่วนใหญ่ผุดขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย ชุมชนเหล่านี้ไม่ปฏิเสธเทคโนโลยีร่วมสมัย แต่ใช้มันตามความจำเป็นเท่านั้นอันเป็นเกณฑ์พื้นฐานของการดำเนินชีวิตของพวกเขา แต่ชุมชนเหล่านี้ยังมีจำนวนน้อยเกินไปที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

เมื่อความคิดที่จะบริโภคเพิ่มขึ้นต่อไปยังไม่เปลี่ยน สิ่งที่นโยบายของไบเดนและของชาวโลกส่วนใหญ่ จึงได้แก่การหวังจะใช้เทคโนโลยีใหม่แก้ปัญหา กล่าวคือแสวงหาเทคโนโลยีที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง เช่น พลังงานจากแสงแดด จากกระแสลมและจากการใช้วัสดุที่เคยโยนทิ้ง เท่าที่ผ่านมา เทคโนโลยีใหม่ยังช่วยได้ไม่มากนัก นอกจากนั้น เทคโนโลยีใหม่ยังมักมีคำสาปติดมาอีกด้วย ดังคอลัมน์นี้ชี้ให้เห็นแล้วหลายครั้ง ด้วยเหตุนี้จึงพอสรุปได้ว่าไบเดนอาจขจัดความเน่าเหม็นที่ทรัมป์ทำไว้บนเวทีโลกได้ แต่จะไม่ทำให้โลกและสหรัฐมีโอกาสอยู่ต่อไปได้อย่างยั่งยืนเพิ่มขึ้น