แสนสิริลดเสี่ยง-หมุนเงินเร็วลุยไซส์เล็กจับกลุ่มบ้านหลังแรก คอนโดราคาถูกรับกำลังซื้อหด

แสนสิริลดเสี่ยง-หมุนเงินเร็วลุยไซส์เล็กจับกลุ่มบ้านหลังแรก คอนโดราคาถูกรับกำลังซื้อหด

แสนสิริ กางแผนปี 64 ผุด 24 โครงการใหม่ มูลค่า 2.6 หมื่นล้าน เจาะเรียลดีมานด์กรุงเทพฯ ปริมณฑล ชูไฮไลท์ คอนโดราคาต่ำรับกำลังซื้อหดตัว เจาะกลุ่มยังก์เจน พลิกเกมมุ่งโปรเจคขนาดเล็ก หมุนเงินเร็ว ลดความเสี่ยง ตั้งเป้ายอดขาย2.6หมื่นล้านยอดโอน 2.7 หมื่นล้าน

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทิศทางอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง สถานการณ์โควิดรอบใหม่ยังมีความน่าเป็นห่วง ตราบใดที่ยังมีการแพร่ระบาดทำให้เกิดความผันผวนทางเศรษฐกิจ รัฐควบคุมสถานการณ์โดยการล็อกดาวน์เป็นระยะ และแม้จะมีวัคซีนเข้ามาเป็นความหวังแต่กำลังซื้อยังคงไม่กลับมาภายใน 12-18 เดือนข้างหน้า

ทิศทางอสังหาฯ ล้อไปกับภาวะเศรษฐกิจ เป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยสายป่านยาว ฉะนั้นอสังหาฯ ขนาดกลาง เล็ก เหนื่อยไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแบรนด์ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน บริการหลังการขายที่ด้อยกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ซึ่งขณะนี้รายใหญ่ลงมาสู้ทุกตลาด อาจได้เห็นโครงการของรายกลางและเล็กออกมาขาย รวมถึงที่ดินเปล่า

“แต่ปีนี้ยังคงเป็นปีของความหวังไม่ใช่แค่แสนสิริแต่เป็นความหวังลูกค้า สังคมและคนไทยทุกคนในการมีบ้าน การเสริมความแข็งแกร่งของแสนสิริ และความหวังในการคืนรอยยิ้มให้กับครอบครัวแสนสิริและสังคมไทยให้ผ่านปีนี้อย่างแข็งแกร่งไปด้วยกัน หวังว่าโควิดจะจบเร็ว มีมาตรการรัฐออกมาช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ และเศรษฐกิจ”

แสนสิริ ตอบโจทย์ความหวังในการมีบ้านด้วยการพัฒนาโครงการใหม่ในระดับราคาที่เข้าถึงง่าย ด้วยสินค้าที่หลากหลาย ครอบคลุมทำเลกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อเพิ่มโอกาสการมีบ้านหลังแรก ภายใต้แบรนด์ สิริ เพลส, อณาสิริ, สราญสิริ และ บุราสิริ โดยไฮไลท์สำคัญจะมีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ เริ่มจากการคอนโดมิเนียม 4 โครงการในกลุ่มราคาย่อมเยาว์ (Affordable) ราคาต่ำ (Mass) จับกลุ่มยังก์ เจนเนอเรชั่น อายุ 18-30 ปี ในย่านรัชดาฯ เกษตรฯ รามคำแหง และ บางนาราคาเริ่มต้นกว่า 1 ล้านบาทจนถึง 2 ล้านกว่าบาทเป็นครั้งแรกในรอบ10 ปี เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่ง

“จากเดิมเราทำตลาดตั้งราคา 1 ล้านต้นๆ ไปถึง 100 ล้านบาท หันมาโฟกัสตลาดแมสด้วยการทำราคาขายลดลง เชื่อว่าขายได้แน่นอน แม้จะมีความเสี่ยงในการถูกปฎิเสธสินเชื่อ”

ขณะเดียวกัน จะเปิดตัว “สิริ เรสซิเด้นซ์” ทาวน์โฮมระดับบนใจกลางเมือง 2 ทำเล ในไตรมาส 4 เปิดตัวแบรนด์ “BuGaan” บ้านเดี่ยว 3 ชั้น ราคา 30-80 ล้านบาท เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการอิสระ (Young Successor) ทำเลโยธินพัฒนา 14 ยูนิต เปิดขายไตรมาส 2 และเตรียมส่งมอบคอนโดพร้อมอยู่อีก 3 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 12,200 ล้านบาท ได้แก่ XT ห้วยขวาง, ดีคอนโด ไฮด์อเวย์ รังสิต และเอดจ์ เซ็นทรัล พัทยา

ปัจจุบันบริษัทมีเงินหมุนเวียน 15,000 ล้านบาท พร้อมโฟกัสกลยุทธ์ “Speed to Market” ด้วยการเปิดตัวโครงการขนาดเล็กลงจากเดิมที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ โดยกระจายไปทั่วทุกทำเล ซึ่งจะทำให้มีเงินหมุนกลับมาได้เร็วขึ้น ลดความเสี่ยง และหากโควิดคลี่คลายกำลังซื้อต่างชาติกลับมาปลายปีนี้จะมียอดขายและโอนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

"ปีนี้ต้องระวังเรื่องกระแสเงินสด ไม่เปิดตัวอย่าง aggressive เพื่อรักษาระดับหนี้สิน ที่สามารถควบคุมได้ ในภาวะเช่นนี้อาจมีผู้ประกอบการรายกลางและเล็ก นำโครงการ หรือ ที่ดินออกมาขาย ถือเป็นโอกาสที่แสนสิริจะเลือกซื้อสินทรัพย์ "

ปี 2564 บริษัทวางเป้าหมายพัฒนา 24 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 26,000 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 7 โครงการ มูลค่า 12,300 ล้านบาท ทาวน์โฮมและมิกซ์โปรเจก 12 โครงการ มูลค่า 9,600 ล้านบาท คอนโด 5 โครงการ มูลค่า 4,100 ล้านบาท ในเซกเมนต์ ราคาย่อมเยาว์ และ ราคาระดับกลาง เป็นหลัก เพื่อให้แสนสิริเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงง่าย และให้ทุกคนได้มีโอกาสเป็นเจ้าของบ้านหลังแรก

ขณะเดียวกันจะขยายฐานลูกค้าในเซ็กเมนต์ลักชัวรีด้วยสินค้าใหม่ ทั้งทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยว 3 ชั้น ภายใต้แบรนด์ใหม่ พร้อมจับมือพันธมิตรรายใหญ่ในธุรกิจอาหารเปิดตัวแคมเปญสร้างสีสัน

คาดว่าปีนี้จะสร้างยอดขาย 26,000 ล้านบาท จากแนวราบ 16,000 ล้านบาท คอนโด 10,000 ล้านบาท วางเป้าโอน 27,000 ล้านบาท จากแนวราบ 16,000 ล้านบาท คอนโด 11,000 ล้านบาท แสนสิริยังมียอดขายรอโอนรองรับการเติบโตระยะยาวในอีก 3 ปี อีก 27,700 ล้านบาท เป็นการตั้งเป้าหมายแบบ Conservative สอดคล้องสถานการณ์ความไม่แน่นอนของโควิดที่กระทบเศรษฐกิจไทยและทั่วโลก คาดว่ากำลังซื้อจะชะลอตัวไปอีก 12-18 เดือนข้างหน้า กระทบความไม่มั่นใจและทำให้ชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า กรกระตุ้นภาคอสังหาฯ ของรัฐบาล ส่วนแรกอาจเป็นมาตรการกระตุ้นโดยไม่ต้องใช้งบประมาณ เช่น การลดดอกเบี้ยช่วยเพิ่มกำลังซื้อ ขยายระยะเวลาการเช่าระยะยาวจาก 30 ปี เป็น 99 ปี เป็นอย่างน้อย เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ให้เข้ามาอยู่ มาท่องเที่ยว ซึ่งจะนำมาซึ่งการใช้จ่าย ก่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในวงกว้าง รวมถึงพิจารณาการเพิ่มกำลังซื้อของผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัย โดยให้สถาบันการเงินของรัฐ จัดสรรเงินจำนวนหนึ่งในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ เพื่อให้ผู้ที่ต้องการมีบ้านหลังแรกเข้าถึงได้ อีกส่วนหนึ่งเป็นมาตรการกระตุ้นที่ใช้งบประมาณ เช่นการยกเว้นภาษี ค่าโอน ค่าธรรมเนียม รัฐบาลต้องเสียงบประมาณ แต่ถ้าให้เลือกทำก่อนน่าจะเป็นเรื่องการยกเลิกมาตรการแอลทีวี เพราะไม่ได้ใช้งบประมาณอะไร