สะเทือนวงการตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของไทย เมื่อน้องใหม่ บริษัทอัพบิต เอ็กซ์เชนจ์(ประเทศไทย) (Upbit)ได้รับไลเซ่นจาก.ล.ต.มาหมาดๆ
โดดเข้ามาร่วมวงชิงมาร์เก็ตแชร์ตลาดศูนย์การซื้อขายคริปโตเคอร์ เรนซีในประเทศไทย (Digital Asset Exchange) สร้างความฮือฮา ด้วยการปรากฎชื่อ “สมโภชน์ อาหุนัย” ประธานคณะกรรมการบริหาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ (EA) อดีตผู้เชี่ยวชาญในแวดวงตลาดหุ้น ได้เข้าลงทุนใน Upbit ด้วย แม้ผู้ใกล้ชิดบอกว่า "ถือหุ้นส่วนน้อย เป็นการลงทุนส่วนตัว และใช้เงินลงทุนส่วนตัวก็ตาม
Upbit มาพร้อมกับคอนเซ็บท์ เป็นหนึ่งในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่สุดในเอเชีย แถมโปรโมชั่นช่วงเปิดตัวค่าธรรมเนียม Maker 0% ในทุกประเภทคำสั่ง ค่าธรรมเนียม Taker แค่ 0.1% อีกด้วย
เพียงเท่านี้ก็ทำให้ ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีร้อนทะลุเป็นไฟแล้ว
“ปรมินทร์ อินโสม” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น มองว่า การที่ Upbit เปิดตัวหุ้นส่วนโดยมี “สมโภชน์” ร่วมถือหุ้นด้วย เป็นการใช้เครดิตของ สมโภชน์ เพื่อดึงคนให้เข้ามาซื้อขายใน Upbit แต่จะช่วยได้มากน้อยแค่ไหนยังเป้นประเด็นที่ต้องติดตาม เพราะ“สมโภชน์” ถือว่ายังเป็นมือใหม่ในวงการคริปโตเคอร์เรนซี
ขณะที่Exchange รายใหม่ที่เข้ามาเชื่อว่าการเพิ่มฐานลูกค้าก็จะไม่ได้เร็ วเพราะขั้นตอนการทำความรู้จักลูกค้า (KYC) ก็จะใช้เวลาพอสมควร ทำให้การเพิ่มจำนวนลูกค้าก็จะไม่ได้เร็ว แต่หากมีฐานลูกค้าอยู่แล้วก่อนที่จะเปิดให้บริการ จะทำให้มีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นเร็ว
การเปิดตัวของ Upbit จะก่อให้เกิดการแข่งขันรุนแรงหรือไม่ ปรมินทร์ มองว่า การแข่งขันของศูนย์การซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีที่เปิดให้ซื้อขายในประเทศไทย ที่ขณะนี้มี 6 แห่ง รวมรายใหม่ คือ Upbit ที่เพิ่งเปิดดำเนินงานให้บริการ เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2564 คาดว่า จะทำให้เกิดการแข่งขันมากขึ้น
นักลงทุนจะเลือกในการเข้าไปซื้อขายกับ Digital Asset Exchange ที่ระบบการซื้อขายไม่มีปัญหา ราคาซื้อขายที่นักลงทุนพอใจ เพราะปัจจุบันราคาซื้อขายแต่ละ Digital Asset Exchange แตกต่างกัน และค่าธรรมเนียมการซื้อขายไม่เท่ากัน ขณะนี้นักลงทุนที่ซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี หรือสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น ไม่ได้เปิดบัญชีกับ Exchange แค่รายเดียว แต่นักลงทุนหนึ่งรายเปิดหลายที่
อย่างไรก็ตาม ปรมินทร์ เชื่อว่า ในอนาคต การแข่งขันด้านค่าธรรมเนียมการซื้อขายก็จะเกิดขึ้น เหมือนกับธุรกิจหลักทรัพย์ในอดีตที่ฟรีค่าธรรมเนียมซื้อขาย แต่ขณะนี้มองว่ายังไม่จำเป็นที่จะต้องแข่งขันรุนแรงขนาดนั้น เพราะ แต่ละ Exchange นั้นจะคิดค่าธรรมเนียมการเทรดให้ลูกค้าแบบขั้นบันได ถ้าลูกค้ารายไหนเทรดจำนวนมาก็จะคิดค่าธรรมเนียมที่ถูกลง อยู่แล้วแต่จะเป็นลักษณะการทำโปรโมชั่นเป็นช่วงๆ ซึ่งในสัปดาห์หน้า
สำหรับ สตางค์ คอร์ปอเรชั่น เตรียมที่จะทำโปรโมโชั่น เทรดฟรี ให้แก่นักลงทุนที่ย้ายค่ายจาก Exchange รายอื่นที่มีปัญหาระบบการซื้อขาย ซึ่งคาดจะมีระยะเวลา 1 สัปดาห์ในการทำโปรโมชั่นก่อน หลังจากนั้นจะพิจารณาอีกครั้ง
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
“เอกลาภ ยิ้มวิไล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิปเม็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การมีผู้เล่นเข้ามาในตลาดมากขึ้นทำให้ลูกค้าได้ประโยชน์มีทางเลือกการลงทุนเพิ่มขึ้น ขณะที่ “สมโภชน์ ” เข้ามาในฐานะผู้ลงทุนของผู้เล่นรายใหม่นั้น มองว่า การท่ี่มีบุคคลในวงการการเงินและการลงทุนเข้ามาครั้งนี้ ยิ่งส่งผลดีต่อตลาดภาพรวม ทำให้ตลาดเงินดิจิทัลเป็นที่ดึงดูด เพิ่มฐานลูกค้าได้มากขึ้น อีกทั้งยังสะท้อนว่า ตลาดเงินดิจิทัล มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก หลังจากนี้ค่อยๆ เป็นที่รู้จักมากขึ้นในไทยช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้
แต่อย่างไรก็ตามในเชิงธุรกิจต้องปรับตัวรับการแข่งขันที่มากขึ้น สำหรับบริษัท เน้นย้ำจุดแข็งเรื่องความมั่นคง ปลอดภัยและสร้างประสบการณ์ที่ดีกับลูกค้า เน้นการเติบโตค่อยเป็นค่อยไป หวังว่าสิ้นปีนี้จะมียอดเทรด แตะระดับ 1 พันล้านบาทต่อวัน เพิ่มฐานลูกค้าอีก 5 หมื่นรายจากปัจจุบันมี 2.5 หมื่นราย
ส่วนทางด้านโปรโมชั่นค่าธรรมเนียมเป็นปกติที่จะแข่งขันกันช่วงๆ อยู่แล้ว เรามองว่า ไม่ควรมีค่าธรรมเนียมที่สูง โดยในปีนี้เราก็ยังไม่คิดค่าธรรมเนียมการซื้อขาย หลังจากเปิดตัวครั้งแรกเมื่อก.ค. ปีก่อน และหากเริิ่มคิดค่าธรรมเนียมก็จะต้องต่ำสุดในตลาด