8แบงก์กำไรปี63ดิ่ง24.7% แบกสำรองพุ่ง1.65แสนล้าน  

ผู้สื่อข่าวรายงานผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ทั้ง 8 แห่ง ปี 2563 ทั้ง ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB) ธนาคารกสิกรไทย(KBANK) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY)ธนาคารทีเอ็มบี(TMB) ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) ธนาคารเกียรตินาคิน ภัทร (KKP)ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์(LHFG)ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย(CIMBT)

โดยผลการดำเนินงาน ปี 2563 ธนาคารทั้ง 8แห่ง มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.02แสนล้านบาท ลดลง 24.70% จากปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.36 แสนล้านบาท โดยธนาคารที่กำไรลดมากที่สุด คือ CIMBT ที่ 36% รองลงมา SCB ที่ -32.69 % และ LHFG 30.96% ขณะที่มีเพียงแบงก์เดียวที่มีกำไรสุทธิคือ TMB โดยกำไรเพิ่มขึ้น 40% ซึ่งมาจากผลบวกของการรวมกิจการกับธนาคารธนชาตตามแผนที่วางไว้

อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิของธนาคารพาณิชย์ที่ลดลง หลักๆมาจากภาระการตั้งสำรองของธนาคารที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อรองรับหนี้เสียที่อาจเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยสำรองโดยรวมอยู่ที่ 1.65 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นที่ 43.7% หรือเพิ่มขึ้น 5 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนหน้าที่สำรองอยู่ที่ 1.15 แสนล้านบาท โดยธนาคารที่สำรองเพิ่มมากที่สุด คือ SCB สำรองอยู่ที่ 4.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.8%

รองลงมาคือ KBANK ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 28% และ  BAY ที่ 3.6หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 29.9%

ด้านนายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน คาดการณ์ผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ปี 2563 ที่ 1.4 แสนล้านบาท ลดลง 33.5% หากเทียบกับปีก่อนหน้า หลังเผชิญกับการตั้งสำรองเผื่อขาดทุนด้านเครดิตไว้ค่อนข้างสูง ที่เป็นตัวกดดันกำไรให้ลดลง โดยพบว่าตัวที่ออกมาดีเกินที่ตลาดคาดการณ์ไว้ คือ KBANK ที่ออกมากำไรลดลงน้อยกว่าคาด ส่งผลให้มีซื้อเข้ามา และกลับมายืนบวกได้(วานนี้)

ขณะที่ปี 2564 คาดการณ์ว่า กำไรกลุ่มแบงก์น่าจะกลับมาพลิกเป็นบวกได้ โดยคาดกำไรสุทธิน่าจะอยู่ที่ราว 1.53 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.5% หากเทียบกับปี2563 จากสำรองหนี้เสียที่คาดลดลง จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ทำให้รายได้สินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมและอื่นๆมีโอกาสกลับมาฟื้นตัวต่อเนื่อง

ส่วนคำแนะนำ ยังคงแนะนำแบงก์ที่มีการสำรองแข็งแกร่ง สะท้อนการรับมือความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้มาก รวมถึงยังแนะนำแบงก์ที่มีฐานลูกค้าที่ไม่มีความเสี่ยงเกินไป และไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจหรือโควิด-19มากนัก เช่นแบงก์ที่มีพอร์ตธุรกิจรายใหญ่ เหล่านี้น่าจะคุมหนี้เสียได้ดีกว่าแบงก์อื่นๆ โดยยังแนะนำซื้อ BBL และ TISCO

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า แม้กำไรของธนาคารลดลง 32.69% หลังได้รับแรงกดดันจากการตั้งสำรองที่สูงขึ้น แต่ผลประกอบการจากธุรกิจหลักของธนาคาร ยังคงแข็งแกร่งและเงินกองทุนของธนาคารยังอยู่ในระดับสูง 

ส่วนเป้าหมายทางการเงินปี 2564 ธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อโดยรวมคาดเติบโตที่ 3-5% ขณะที่ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin หรือ NIM) ตั้งเป้าอยู่ที่3.0-3.2% ส่วนเอ็นพีแอลคาดยอยู่ในกรอบ 4-4,5% ส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio)ตั้งเป้า ต่ำกว่า 130%

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า สำหรับผลการดำเนินงานธนาคาร ปี 2563 ที่ผ่านมามีกำไรสุทธิอยู่ที่ 29,487 ล้านบาท ลดลง 9,240 ล้านบาท หรือ 23.86% จากปีก่อนหน้า หลังธนาคารและบริษัทย่อยใช้หลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องในการพิจารณาสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 9,536 ล้านบาท หรือ 28.04% ทำให้ทั้งปีสำรองเพิ่มขึ้นเป็น 43,548 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าสำรองระดับนี้สามารถรองรับความเสียหายต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม

ส่วนหนี้เสียของธนาคาร เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 3.93% จากปี 2562 ที่ 3.65% โดยธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งติดตามดูแลคุณภาพสินเชื่อของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างใกล้ชิด