'เพื่อไทย' เติม 'เลือดใหม่' ลุย'พรรคเดี่ยว' ตั้งเป้าชิงรัฐบาล
"พรรคเพื่อไทย" เตรียมตัว "เลือกตั้ง" ครั้งหน้าแล้ว ตั้งเป้าใหญ่ เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล อันดับ1 แบบที่ไม่สนใจคู่แข่งอย่าง "ก้าวไกล" พร้อมส่งสารท้ารบกลายๆ ในสนามประชาธิปไตย และสะกิดแฟนคลับให้เข้าใจ "ยุทธศาสตร์แตกแบงค์พัน" นั้นหมดความหมาย ตัดขาด "หญิงหน่อย" อย่างหมดเยื่อใยไปแล้ว
จังหวะก้าวของ “พรรคเพื่อไทย” ดูจะกระฉับกระเฉงขึ้นมาบ้าง หลังจากอยู่ในภาวะระส่ำระสายหลายระลอก โดยเฉพาะความไม่ลงรอยกันภายในของกลุ่มก้อนต่างๆ จนเกิดอาการเลือดไหลโชก เมื่อ “สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” พร้อมแกนนำคนสำคัญทยอยลาออกจากพรรค
การขยับล่าสุด ของ “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” เลขาธิการพรรค และ “เฉลิม อยู่บำรุง” ประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษ ที่แท็กทีมตั้งโต๊ะแถลงถึงการปรับปรุงโครงสร้างพรรคให้เกิดความแข็งแกร่งในอนาคต
มีการแต่งตั้งคณะกรรมการประสานพื้นที่ในเขตเลือกตั้งทั่วประเทศ หรือ คณะกรรมการประสานโซน เพื่อเป็นแมวมองเฟ้นหาคนเลือดใหม่ทางการเมืองเพื่อสู้ศึกเลือกตั้งครั้งต่อไป ด้วยการดึงคนรุ่นใหม่ที่มีบทบาทในสนามท้องถิ่น และมีแววขึ้นชั้นสนามระดับชาติได้ รวมถึงบางพื้นที่จะมีการส่งต่อมรดกทางการเมืองให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานได้สานต่ออีกด้วย
"คณะกรรมการชุดนี้จะทำงาน และสานงานในเขตพื้นที่ต่างๆ โดยรูปแบบที่ได้จัดโครงสร้างในการสรรหาบุคลากรทางการเมือง เพื่อดำเนินการร่วมรับฟังปัญหาต่างๆ ในเขตเลือกตั้ง เพื่อพรรคจะได้นำมาปรับปรุง เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ประชาชนได้รับความช่วยเหลือ พรรคเพื่อไทยมีเป้าหมายและตั้งใจว่าจะส่งผู้สมัครทุกเขตเลือกตั้ง 350 เขตในการเลือกตั้งครั้งหน้าและเราจะต่อสู้ในศึกการเลือกตั้งอย่างเด็ดเดี่ยว และไม่มีพรรคเสริมใดๆ ทั้งสิ้น" หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุ
เลขาธิการพรรค ขยายความเพิ่มเติมว่า “คณะกรรมการดังกล่าวขอเรียกสั้นๆ ว่า คณะกรรมการประสานโซน ประกอบไปด้วยพื้นที่ 21 โซน คือ ภาคเหนือ 2 โซน ตะวันออกเฉียงเหนือ 4 โซนภาคกลาง 5 โซน กทม. 6 โซน และภาคใต้ 4 โซน มีกรอบภารกิจคือ ทำหน้าที่เป็นแมวมองการค้นหาคนการเมืองหรือสมาชิกใหม่ๆ ที่มีอุดมการณ์เดียวกับพรรคเพื่อไทยมาเสริมทัพให้ และการรับฟังเสียงประชาชน เพื่อรวมรวบข้อมูลจัดสร้างนโยบายที่ตรงกับความต้องการประชาชน”
“พรรคจะเริ่มทำงานมิติคู่ขนานระหว่างพื้นที่โซนร่วมกับส่วนกลางของพรรค โดยจะดำเนินการให้ครบ 350 เขต และจะมีการจัดคณะจากส่วนกลาง หน่วยคาราวานเคลื่อนที่ ประสานงานระบบเทคโนโลยีลงพื้นที่ โดยกำหนดลงพื้นที่ภาคเหนือ และอีสานหลังปิดสมัยประชุมสภาฯ”
มองมุมหนึ่ง เป็นการเตรียมตัวสู้กับคู่แข่งอย่าง “ก้าวไกล” ที่แม้ว่า ส.ส.ใน “เพื่อไทย” บางส่วนจะประเมินว่า “ก้าวไกล” รอบหน้า จะได้ ส.ส.ลดน้อยลง เนื่องจากไร้ปัจจัยสนับสนุน อย่างตอน“ไทยรักษาชาติ” ถูกยุบ และไร้กระแสของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ที่ยังติดโทษแบนทางการเมือง จากคดีหุ้นสื่อ
“เพื่อไทย” กำลังหาทางฟื้นพรรค โดยผสมผสานสูตรระหว่างดาวรุ่งและตัวเก๋า โดยตั้งเป้าหมายจะส่งผู้สมัครเลือกตั้งให้ครบ 350 เขต เพื่อหวังเป็นพรรคอันดับ 1 ในการเลือกตั้งรอบหน้า
“เราจะต่อสู้ในศึกการเลือกตั้งอย่างเด็ดเดี่ยว และไม่มีพรรคเสริมใดๆ ทั้งสิ้น” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประกาศกร้าว
ถือเป็นการส่งสารท้ารบของ “เพื่อไทย” โดยเฉพาะเจาะจงถึง “คุณหญิงหน่อย”สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และต้องการสื่อสารถึงแฟนคลับให้เข้าใจตรงกันว่า อดีตประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ที่ออกไปตั้งพรรคใหม่นั้น ตัดขาดจาก “เพื่อไทย” แบบไร้เยื่อใย ไม่มีอาทรใดๆ ต่อกัน
ตอกย้ำว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า “เพื่อไทย” หวังโกย “ส.ส.” เต็มสูบ เลิกยุทธศาสตร์เกี้ยเซียะหรือ “แตกแบงค์พัน” อย่างที่ “เพื่อไทย” และ “ไทยรักษาชาติ” เคยใช้ตอนเลือกตั้ง 24 มี.ค.2562 อีกแล้ว
“อย่าเพิ่งตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น ที่พรรคเพื่อไทยมีนโยบายส่งผู้สมัครเลือกตั้งเต็มพื้นที่ของประเทศ พรรคมีนโยบายและตั้งใจจะบริหารประเทศชาติพรรคเดียว ถ้าเป็นไปได้ ยืนยันว่าไม่มีพรรคนอมินี พรรคเล็ก พรรคน้อยที่ส่งไป เอาแบงก์พันไปแลกแบงก์ร้อย ใครไปอ้างขออย่าไปเชื่อ เรามีแบงก์เดียวคือพรรคเพื่อไทย” เฉลิม อยู่บำรุง ย้ำว่าเพื่อไทยจะมัดรวมกันเป็นก้อน
นับเป็นการเตรียมตัว “เลือกตั้ง” ของ “เพื่อไทย” ล่วงหน้าที่ค่อนข้างนาน ถึง 2 ปี กว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ ภายใต้เงื่อนไขถ้า “รัฐบาล” อยู่ครบเทอม หรืออาจตีความได้ว่า เหตุผลที่ “เพื่อไทย” ใช้เวลาแต่งตัวรอตั้งแต่เนิ่นๆ เผื่อรัฐบาลพลาดพลั้งอยู่ไม่ครบวาระ
แต่ระยะยาว การเขย่าโครงสร้างใหม่รอบนี้ ก็เพื่อเตรียมพร้อมเต็มที่ ในการรบกับทุกพรรค ไม่เฉพาะพรรคในขั้ว “รัฐบาล” แต่ยังมีพรรคร่วม “ฝ่ายค้าน” อย่าง “ก้าวไกล” ที่ “เพื่อไทย” ตั้งเป้าจะลดขนาดลงให้ได้
บทเรียนของการแตกแบงก์พัน ที่ส่งผลกระทบให้เพื่อไทยต้องสูญเสียนักการเมืองแถวสองแถวสามไปเป็นจำนวนไม่น้อยอีกทั้งการอยู่กระจัดกระจายก็เสี่ยงกับปัญหาไร้เอกภาพจึงอาจเป็นเหตุให้ต้องปรับยุทธศาสตร์ กลับมายืนหยัดในจุดยืนเดิม เดินหน้าทำพรรคเดี่ยว และสร้างกระแสให้กลับสู่พรรคอันดับ 1 ในฐานะแกนนำรัฐบาลให้ได้