เปิด!คำพิพากษา 'บรรยิน' ฆ่า 'เสี่ยชูวงษ์' จัดฉากอำพรางคดี จ่อฮุบทรัพย์สิน

เปิด!คำพิพากษา 'บรรยิน' ฆ่า 'เสี่ยชูวงษ์' จัดฉากอำพรางคดี จ่อฮุบทรัพย์สิน

'ศาล' พิพากษา 'บรรยิน' เจตนาฆ่า 'เสี่ยชูวงษ์' ใช้ของแข็งทุบศรีษะ ทำกระดูกต้นคอข้อที่ 6 และ 7 หัก ก่อนจัดฉากขับรถชนต้นไม้

  

วันนี้ (20 ม.ค.64) ศาลอาญาพระโขนง นัดฟังคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ. 1951/2561        คดีหมายเลขแดงที่ อ. 3890/2561 ระหว่าง นางศิริรัตน์ แซ่ตั้ง ที่ 1 กับพวกรวมสี่คน โจทก์                     พันตำรวจโทบรรยิน ตั้งภากรณ์ จำเลย และคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ. 4915/2549 คดีหมายเลขแดงที่  อ. 3889/2561 ระหว่าง พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์ พันตำรวจโทบรรยิน ตั้งภากรณ์ จำเลย

ศาลเริ่มอ่านคำพิพากษาเวลา 09.00 น. โดยสรุปได้ดังนี้ คดีทั้งสองสำนวนศาลมีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน โจทก์ทั้งห้าฟ้องว่าเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2558 จำเลยกับพวกร่วมกันวางแผนฆ่าและฆ่า นายชูวงศ์ แซ่ตั๊ง ผู้ตาย โดยไตร่ตรองไว้ก่อนและเพื่อเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิด เพื่อปกปิดความผิดของตน

หรือเพื่อเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดที่ตนได้กระทำไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) (7) เหตุเกิดที่ตำบลบางโฉลง กับตำบลบางแก้ว อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ และแขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร

ต่อเนื่องเกี่ยวกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4) (7) และขอให้นับโทษต่อจากโทษของจำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ. 636/2563 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ และนับโทษต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.69/2563 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางจำเลยให้การปฏิเสธ

แต่รับว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งห้าและจำเลยโดยตลอดแล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังเป็นที่ยุติว่า นายชูวงศ์ แซ่ตั๊ง ผู้ตายกับจำเลยเป็นเพื่อนกัน เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2558 จำเลย ผู้ตาย และนายชาญศักดิ์ ธนเตชา คนสนิทของจำเลยกับเพื่อนคนอื่น ๆ ร่วมเล่นกอล์ฟที่สนามกอล์ฟเลควูด   คันทรี่คลับ และร่วมรับประทานอาหารเย็นโดยเรียกเก็บเงินค่าอาหารเมื่อเวลา 19.51 น.

หลังจากนั้นจำเลยขับรถยนต์ประเภทเอสยูวี ยี่ห้อเล็กซัส สีดำ หมายเลขทะเบียน ภฉ 1889 กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้ตายนั่งมาในรถเพียงลำพัง 2 คน ออกจากสนามกอล์ฟ และรถยนต์คันที่จำเลยขับชนเข้ากับต้นไม้ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่รกร้างช่วงระหว่างถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย 50 และ ซอย 48 และผู้ตายถึงแก่ความตาย

ส่วนจำเลยได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์ทั้งห้ามีพยานกลุ่มพนักงานสืบสวนสอบสวนมานำสืบว่า จำเลยให้การในชั้นสอบสวนว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยขับรถพาผู้ตายออกจากสนามกอล์ฟเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. เพื่อไปส่งผู้ตายที่บ้านโดยไม่ได้แวะที่ใด ระหว่างทางขณะที่จำเลยขับรถด้วยความเร็วประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อขับรถไปถึงบริเวณถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ระหว่างซอย 50 และซอย 48 มีรถยนต์จากฝั่งตรงข้ามวิ่งแซงสวนทางล้ำเข้ามาในช่องทางเดินรถที่ 2 จากซ้ายที่จำเลยใช้อยู่ จำเลยจึงต้องหักเลี้ยวรถหลบไปทางซ้าย รถยนต์กระแทกขอบทางเท้าและพุ่งผ่านรั้วลวดหนามเข้าไปตรงบริเวณที่รกร้างข้างทางและชนเข้ากับต้นไม้เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย

ส่วนนายชาญศักดิ์ คนสนิทของจำเลยให้การในชั้นสอบสวนว่า ขับรถออกจากสนามกอล์ฟเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. เช่นกัน แต่จากการสืบสวนสอบสวน พบภาพรถยนต์ของจำเลยขับผ่านกล้องวงจรปิดตรงบริเวณธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนบางนา-ตราด กม.18 ที่ตั้งอยู่ตรงปากทางเข้าออกสนามกอล์ฟ เมื่อเวลา 20.11 น. และพบรถยนต์ของนายชาญศักดิ์ขับผ่านกล้องวงจรปิดดังกล่าวเมื่อเวลา 20.14 น.

นอกจากนั้นยังตรวจสอบพบข้อมูลการใช้สัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยที่เสาบางโฉลงใน 1 ตรงบางนา-ตราด กม.16 เมื่อเวลา 20.29 น.และที่เสาซอยรัตนราช ตรงบางนา-ตราด กม.17 เมื่อเวลา 21.06 น.ซึ่งเสาทั้งสองตั้งอยู่ห่างจากสนามกอล์ฟประมาณ 3 กิโลเมตร

จึงเชื่อว่า จำเลยขับรถพาผู้ตายออกจากสนามกอล์ฟเมื่อเวลาประมาณ 20.11 น. มิใช่ 21.00 น. อย่างที่จำเลยกล่าวอ้าง และจากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดตรงบริเวณใกล้กับจุดที่รถยนต์ชนต้นไม้พบว่า จำเลยใช้ช่องทางเดินรถที่ 1 จากซ้ายและขับรถที่ความเร็วประมาณ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เท่านั้น

ซึ่งโจทก์ทั้งห้ายังมีกลุ่มพยานผู้เชี่ยวชาญผู้ทำการทดสอบการขับรถเบิกความยืนยันว่า จากการทดสอบพบว่าจำเลยใช้ความเร็วรถขณะชนทางเท้าและปะทะกับต้นไม้ที่ประมาณ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จึงเชื่อว่าขณะที่จำเลยหักเลี้ยวรถไปทางซ้ายและชนกับทางเท้าจำเลยใช้ความเร็วรถประมาณ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

นอกจากนี้พยานกลุ่มเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยนำสืบว่าเมื่อไปถึงจุดที่รถยนต์ชนต้นไม้ ผู้ตายไม่มีสัญญาณชีพแล้ว ไม่สามารถปั๊มหัวใจจนกลับมามีสัญญาณชีพได้ และม่านตาขยาย และมีพยานกลุ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนำสืบว่า จากการชันสูตรศพผู้ตาย พบบาดแผลบวมช้ำที่ศีรษะด้านหลังซ้ายพื้นที่ 8×6 เซนติเมตร บาดแผลถลอกบริเวณคาง กระดูกคอข้อที่ 6 และ 7 หัก และพบเศษเนื้อสัตว์และผักเต็มกระเพาะอาหาร และระบุสาเหตุการตายว่า เลือดออกใต้เยื้อหุ้มสมองชั้นใน สมองบวม จากการกระทบกระแทกของแข็ง

ทั้งยังมีพยานกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการขับรถเบิกความว่า รถยนต์คันเกิดเหตุมีเบาะรองศีรษะ เมื่อเกิดอุบัติเหตุไม่น่าส่งผลให้กระดูกคอข้อที่ 6 และ 7 หัก และมีความเห็นทำนองว่าสภาพบาดแผลที่พบอันเป็นสาเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายไม่สอดคล้องกับลักษณะการเกิดอุบัติเหตุ

อีกทั้งการที่ตรวจพบเศษอาหารเต็มกระเพาะอาหารของผู้ตาย แสดงว่าผู้ตายถึงแก่ความตายหลังจากรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายประมาณครึ่งชั่วโมงถึง 1 ชั่วโมง เมื่อจำเลยขับรถพาผู้ตายออกจากสนามกอล์ฟเมื่อเวลา 20.11 น. และเกิดเหตุรถยนต์ชนต้นไม้เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น. จึงเป็นเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง

จึงเชื่อว่าผู้ตายถึงแก่ความตายมาก่อนที่จะเกิดเหตุรถยนต์ชนต้นไม้ และบาดแผลบวมช้ำที่ศีรษะด้านหลังซ้ายของผู้ตาย กระดูกต้นคอผู้ตายข้อที่ 6 และ 7 หัก และรอยถลอกใต้คางของผู้ตาย ไม่ได้เกิดจากการที่รถยนต์ชนต้นไม้

และโจทก์ทั้งห้ายังมีพยานกลุ่มพนักงานสืบสวนสอบสวนเบิกความอีกว่า จำเลยมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับนางสาวอุรชา วชิรกุลฑล บุตรสาวของนางสาวศรีธรา และนางสาวกัญฐณา ได้ร่วมกับนางสาวอุรชา และนางสาวกัญฐณาปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมเพื่อโอนหุ้นของผู้ตายไปยังนางสาวศรีธราและนางสาวกัญฐณา

ส่วนจำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความลอย ๆ โดยมิได้นำพยานหลักฐานหรือผู้เชี่ยวชาญมาหักล้าง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า เพื่อมิให้ผู้ตายทราบถึงการกระทำความผิดที่จำเลยร่วมกับนางสาวอุรชา และนางสาวกัญฐณาปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมในการโอนหุ้นของผู้ตายไปให้นางสาวศรีธราหรือนางสาวอุรชา และนางสาวกัญฐณา จำเลยจึงร่วมกับผู้อื่นที่ไม่ทราบชื่อและจำนวนที่แน่นอนวางแผนฆ่าผู้ตาย โดยสร้างเรื่องราวว่าในวันเกิดเหตุ ผู้ตายมีนัดเล่นกอล์ฟกับจำเลยและผู้ใหญ่ที่ผู้ตายเคารพนับถือไว้ ผู้ตายจึงจำต้องไปเล่นกอล์ฟด้วยโดยไม่อาจปฏิเสธได้

หลังจากนั้นวางแผนอ้างว่าจะขับรถพาผู้ตายไปส่งที่บ้าน แต่กลับใช้โอกาสดังกล่าวร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายโดยใช้อาวุธที่เป็นวัตถุของแข็งไม่มีคมตีผู้ตายจนถึงแก่ความตาย ณ บริเวณสถานที่ใดที่หนึ่งใน ตำบลบางโฉลง อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นจุดที่ปรากฏข้อมูลการใช้สัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยจากเสาส่งสัญญาณบางโฉลงใน 1 และเสาซอยรัตนราช ที่ห่างกันเพียงประมาณ 1 กิโลเมตร และห่างจากสนามกอล์ฟประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นเวลานานถึง 37 นาที และอำพรางคดีว่าสาเหตุการตายของผู้ตายเกิดจากอุบัติเหตุรถยนต์ชนต้นไม้ตรงบริเวณถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ระหว่างซอย 50 และซอย 48 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร

การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นการร่วมกันกระทำโดยเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและเพื่อเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิด เพื่อปกปิดความผิดของตน หรือเพื่อเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดที่ตนได้กระทำไว้ จำเลยกระทำความผิดด้วยความโลภอยากได้ในทรัพย์สินของผู้อื่นเป็นอย่างมากโดยอาศัยโอกาสและความไว้เนื้อเชื่อใจในความเป็นเพื่อนสนิทระหว่างจำเลยกับผู้ตาย และคบคิดกับพวกด้วยการวางแผนและลงมือฆ่าผู้ตาย

จากนั้นปกปิดการกระทำโดยสร้างเรื่องและอำพรางคดีว่าสาเหตุการตายของผู้ตายเกิดจากอุบัติเหตุ เมื่อถูกจับกุมดำเนินคดี ก็มิได้รู้สำนึกในการกระทำของตนและบรรเทาผลร้ายแต่อย่างใด แต่กลับปฏิเสธและต่อสู้คดีมาโดยตลอด ทั้งจำเลยยังเคยรับราชการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจชั้นสัญญาบัตร มีความรู้ด้านกฎหมาย จึงควรต้องมีสำนึกและความรู้ผิดชอบชั่วดี แต่จำเลยกลับกระทำความผิดโดยมิได้ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง

 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) (7) ประกอบมาตรา 83 ให้ลงโทษประหารชีวิต ส่วนที่โจทก์ที่ 5 มีคำขอให้นับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ. 636/2563 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ และต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.69/2563 ของศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลางนั้น เนื่องจากศาลมีคำพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยจึงไม่อาจนับโทษจำคุกต่อได้ ให้ยก คำขอในส่วนนี้ ศาลอาญาพระโขนงอ่านคำพิพากษาเสร็จในเวลา 12.00 น.

ด้านนางวันเพ็ญ ธนธรรมศิริ พี่สาวของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง ให้สัมภาษณ์ภายหลังศาลพิพากษาประหารชีวิต พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ และอดีต ส.ส.นครสวรรค์ หลายสมัย ว่า รู้สึกพอใจกับคำตัดสินของศาล คุ้มค่ากับระยะเวลาที่รอมานาน ขอบคุณองค์คณะผู้พิพากษาที่ให้ความเป็นธรรมกับครอบครัว และขอบคุณสื่อที่ติดตามคดีนี้มาโดยตลอด

"ส่วนตัวเชื่อว่ามีคนอื่นที่ร่วมกันฆาตกรรมน้องชายตนเอง เนื่องจากในคดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาก็มีผู้ร่วมลงมือก่อเหตุ พร้อมกับขอแสดงความเสียใจไปยังผู้พิพากษาที่ต้องสูญเสียพี่ชายจากคดีโอนหุ้น" นางวันเพ็ญ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ปีที่แล้ว เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2563 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนนครไชยศรี ได้พิพากษาประหารชีวิต พ.ต.ท.บรรยิน และพวก ในคดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาอดีตเจ้าของสำนวนโอนหุ้นนายชูวงษ์ หมายเลขดำ อท.69/2563 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 3 น.ส.พนิดา ศกุนตะประเสริฐ เป็นโจทก์เเละโจทก์ร่วมยื่นฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน และพวก นายมานัส ทับทิม อายุ 67 ปี, นายณรงค์ศักดิ์ ป้อมจันทร์ อายุ 48 ปี, นายชาติชาย เมณฑ์กูล อายุ 31 ปี, นายประชาวิทย์ หรือตูน ศรีทองสุข อายุ 33 ปี และ ด.ต.ธงชัย หรือ ส.จ.อ๊อด วจีสัจจะ อายุ 63 ปี ทั้งหมดภูมิลำเนา จ.นครสวรรค์ เป็นจำเลยที่ 1-6

ในความผิด 9 ข้อหา ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 289, ฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ เป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไปถึงแก่ความตาย มาตรา 309, 313, ฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มาตรา 310

ฐานร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป มาตรา 139, 140, ฐานเป็นซ่องโจร โดยสมคบกันเพื่อกระทำผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต มาตรา 210

ฐานร่วมกันพยายามข่มขืนใจผู้อื่น ให้กระทำการใดโดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป มาตรา 213, ฐานร่วมกันซ่อนเร้น ทำลายศพเพื่อปิดบังการตายและสาเหตุการตาย มาตรา 199, ฐานร่วมกันกระทำการใดๆ แก่ศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นเพื่ออำพรางคดี

โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวเป็นเหตุให้ผู้อื่นจนถึงแก่ความตายฯ ลงโทษประหารชีวิต ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนฯ ตาม ป.อาญา มาตรา 289(4)(7) ลงโทษประหารชีวิต ฐานแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานฯ จำคุก 1ปี สวมเครื่องแบบเจ้าพนักงานฯ จำคุก 1 ปี ซ่อนเร้นทำลายศพฯ จำคุก 4 ปี แต่จำเลยที่ 1 ให้การเป็นประโยชน์ลดโทษ 1 ใน 3 ทุกข้อหาคงจำคุกจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้นตลอดชีวิตสถานเดียว