TMB กำไรพุ่ง 1หมื่นล้าน เพิ่ม40% จากการรวมกิจการธนชาต

TMB กำไรพุ่ง 1หมื่นล้าน เพิ่ม40% จากการรวมกิจการธนชาต

ทีเอ็มบี รายงานกำไรสุทธิ ปี63 กำไรพุ่ง 10,112 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากปีก่อน จากการรับรู้ผลประโยชน์จากการรวมกิจการกับธนชาต พร้อมตั้งสำรองเพิ่มในไตรมาส4 แม้หนี้เสียต่ำที่ 2.5% เพื่อรับมือกับแนวโน้มเศรษฐกิจปีนี้ คาดแผนควบรวมกิจการจบก.ค.ตามแผน

     นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบี เปิดเผย ผลการดำเนินงานธนาคารปี 2563 มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 10,112 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากปี 2562 ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรอง พบว่าปีนี้อยู่ที่ 37,266 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 90% จากปีก่อนหน้า
    สะท้อนถึงการรับรู้ผลประโยชน์จากการรวมกิจการธนชาต ซึ่งทำได้ตามแผนตลอดทั้งปี จากการดำเนินงานที่ดีขึ้นนี้ ธนาคารจึงตั้งสำรองฯ เพิ่มขึ้นแม้ว่าสัดส่วนหนี้เสียยังอยู่ในระดับต่ำที่ 2.5% ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้าที่ 2.35%
     เนื่องจากธนาคารประเมินว่าสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ จะกลับมาสร้างแรงกดดันต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าในช่วงถัดไป ดังนั้น จึงตัดสินใจตั้งสำรองฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
     โดยในไตรมาส 4 ตั้งสำรองฯ อีก 8,237 ล้านบาท รวมทั้งปีเป็นจำนวน 24,831 ล้านบาท ถือเป็นการเสริมความแข็งแกร่งด้านการเงินเพื่อรับมือกับแนวโน้มเศรษฐกิจและผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2564
    “จากผลการดำเนินงานที่ยังคงดีอยู่ ผลลัพธ์คือสัดส่วนเงินสำรองฯ ต่อหนี้เสียซึ่งเปรียบเสมือนกันชนรับความเสี่ยงปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 134% เทียบกับ 120% ในปี 2562 ถือเป็นการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบและเตรียมการล่วงหน้าเพื่อรองรับแนวโน้มหนี้เสียในอนาคตภายหลังสิ้นสุดมาตรการพักชำระหนี้”

    ทั้งนี้ สำหรับทีเอ็มบีและธนชาต เป้าหมายหลักในปี 2563 เป็นเรื่องของการดำเนินการตามแผนรวมกิจการเพื่อให้เกิดการรับรู้ผลประโยชน์ด้านงบดุล (Balance Sheet Synergy) และด้านต้นทุน (Cost Synergy) และเพื่อให้การรวมธนาคาร (Integration) เสร็จสิ้นภายในเดือนกรกฎาคมนี้

     อย่างไรก็ดี ทีเอ็มบีและธนชาตสามารถดำเนินการตามแผนรวมกิจการได้ตามเป้าหมาย จึงทำให้เกิด Balance Sheet Synergy จากการปรับโครงสร้างเงินฝากและสินเชื่อ

    ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนรายได้ดอกเบี้ย ขณะที่ Cost Synergy ซึ่งเกิดจากการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและลดค่าใช้จ่ายที่ทับซ้อนกันระหว่าง 2 ธนาคาร ช่วยให้ธนาคารสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างดี ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานยังคงแข็งแกร่ง

    อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดวิกฤตโควิด-19 สิ่งที่ธนาคารให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ได้แก่การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ลูกค้าทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ ควบคู่ไปกับการเสริมความแข็งแกร่งด้านการเงินและบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ และกลายมาเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญในปีที่ผ่านมา
    ในด้านผลประกอบการ แน่นอนว่ามีแรงกดดันด้านรายได้จากเศรษฐกิจที่หดตัวและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงหลายครั้ง

     ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2563 สินเชื่อภายใต้โปรแกรมพักชำระหนี้ของธนาคารลดลงจากระดับประมาณ 40% ในช่วงเริ่มต้นโปรแกรม มาอยู่ที่ประมาณ 15% ของสินเชื่อรวม ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่เข้ามาขอรับความช่วยเหลือเพิ่มเติมหลังจากที่โปรแกรมแรกจบลง