TISCO เปิดแผนงานปี64 ชูกลยุทธ์ ‘เติบโตอย่างยั่งยืน’ รับมือทุกความท้าทาย

TISCO เปิดแผนงานปี64 ชูกลยุทธ์ ‘เติบโตอย่างยั่งยืน’ รับมือทุกความท้าทาย

กลุ่มทิสโก้แถลงแผนการดำเนินงานปี 2564 เน้นการเติบโตอย่างมั่นคงยั่งยืน ภายใต้แรงกดดันของสถานการณ์โควิด-19 ที่ฉุดเศรษฐกิจโตต่ำ และไม่แน่นอนสูง พร้อมเดินหน้าช่วยเหลือลูกค้าก้าวข้ามวิกฤตต่อเนื่อง ควบคู่กับการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

      นายสุทัศน์ เรืองมานะมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ (Mr. Suthas Ruangmanamongkol, Group Chief Executive) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2564 มีแนวโน้มฟื้นตัวเป็นบวกเล็กน้อยที่ 2.0% ถือเป็นอัตราการฟื้นตัวในระดับต่ำมากจากปีที่ผ่านมา จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้กลับมามีความไม่แน่นอนได้อีกครั้ง

    ในสถานการณ์เช่นนี้ กลยุทธ์ของกลุ่มทิสโก้ในปี 2564 จึงให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างมั่นคงยั่งยืนในธุรกิจที่หลากหลายของกลุ่มทิสโก้ โดยมุ่งเน้นการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ พิจารณาการปล่อยสินเชื่อให้เหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า ควบคู่กับการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ

    รวมถึงการดูแลติดตามและช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ผ่านมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้ขยายระยะเวลาออกไปจนถึงกลางปีนี้  นอกจากนี้ยังเห็นโอกาสของการเติบโตจากความต้องการสินเชื่อเพื่อธุรกิจรายใหญ่ เพื่อใช้ดูแลสภาพคล่องของภาคธุรกิจให้มีความต่อเนื่อง

     “ต้องยอมรับว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ เข้ามาซ้ำเติมปัญหาความเปราะบางทางการเงิน สภาพคล่อง และกระทบกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า สิ่งที่เราทำได้ก็คือการเข้าไปช่วยเหลือลูกค้าและติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด ขณะที่อีกด้านยังคงเดินหน้าขยายการเติบโตธุรกิจอย่างเหมาะสมกับความเสี่ยง ในธุรกิจสินเชื่อรายย่อยได้พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อเข้ามาช่วยในการทำงานให้ง่ายขึ้น และยังสามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งคู่ค้าและลูกค้า ตลอดจนการพัฒนาระบบนิเวศ (Ecosystem) ของผู้ใช้บริการสินเชื่อรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ และสินเชื่อบ้าน ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจของธนาคารได้ดีขึ้น ส่วนกลุ่มลูกค้าธุรกิจจะยังคงใช้จุดแข็งของการให้บริการลักษณะ Total Solution ครอบคลุมผลิตภัณฑ์สินเชื่อและบริการวาณิชธนกิจ ที่จะช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง”

     นายสุทัศน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของธุรกิจธนบดีธนกิจและการลงทุนซึ่งเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์ในปีนี้จะยังคงเน้นการให้บริการอย่างผู้เชี่ยวชาญ แข่งขันอย่างมืออาชีพ และต่อยอดบริการที่ปรึกษาทางการเงินที่ดี (Top Advisory) ด้วยการให้คำแนะนำที่ตอบโจทย์ลูกค้าในเชิงลึก (In-depth Advisory) และนำเสนอผลิตภัณฑ์การเงินที่เพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้าอย่างครบวงจร
     ซึ่งครอบคลุมถึงธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ ธุรกิจกองทุนรวม และธุรกิจหลักทรัพย์ เพราะความท้าทายวันนี้คือลูกค้าใช้บริการและผลิตภัณฑ์การเงินการลงทุน ได้อย่างสะดวกขึ้นจากหลากหลายสถาบันการเงิน นำมาซึ่งการแข่งขันที่สูง

    ในปีที่ผ่านมาทิสโก้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการนำเสนอกองทุนที่เน้นลงทุนในนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงสามารถคัดเลือกกองทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีจากบริการ Open Architecture ขณะเดียวกันยังได้รับรางวัลในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

    “ข้อดีของทิสโก้คือการมีธุรกิจที่หลากหลาย คือหากธุรกิจหนึ่งได้รับผลกระทบ ก็ยังมีรายได้จากธุรกิจอื่นเข้ามาชดเชย ถือเป็นการกระจายความเสี่ยงและช่วยรักษาสมดุลของรายได้ โดยโจทย์ในการทำธุรกิจของกลุ่มทิสโก้ไม่ได้เน้นการเติบโตที่รวดเร็ว แต่จะเป็นการเติบโตที่ยั่งยืน ขณะเดียวกันก็ต้องคอยพัฒนารูปแบบการทำงานและการให้บริการลูกค้าให้ดีขึ้นและมีประสิทธิภาพขึ้น เช่น การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ โดยเฉพาะเรื่องของ Digital Channel และ Mobile Platform เพื่อช่วยให้ลูกค้าได้รับบริการที่สะดวกขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังช่วยลดต้นทุนของบริษัท และช่วยให้พนักงานทำงานได้มีประสิทธิภาพขึ้น”    

สรุปผลประกอบการงานงวดปี 2563

    ผลการดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้สำหรับปี 2563บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 6,063 ล้านบาท ลดลง 16.6% เมื่อเทียบกับปี 2562 เป็นไปตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจและความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น อันเนื่องมาจากการระบาดของโควิด-19

    โดยรายได้รวมลดลง 2.7% มาจากการชะลอตัวของรายได้ค่าธรรมเนียมเป็นหลัก โดยเฉพาะธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ทั้งรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจนายหน้าประกันภัยและค่าธรรมเนียมจากเงินให้สินเชื่อ
    อย่างไรก็ดี รายได้ค่าธรรมเนียมของธุรกิจที่เกี่ยวกับตลาดทุนปรับตัวดีขึ้น ทั้งธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุน จากปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เพิ่มขึ้น และการออกกองทุนใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของนักลงทุน
      ในขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวดีขึ้น
2.4% จากการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพในภาวะดอกเบี้ยขาลง สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานปรับตัวลดลง 13.6% ตามทิศทางการชะลอตัวของรายได้ ส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss ECL) มีจำนวน 3,331 ล้านบาท

   เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากการตั้งสำรองตามโมเดลของมาตรฐานบัญชี TFRS 9 และการตั้งสำรองเพื่อรองรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นในภาวะที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) ของปี 2563 อยู่ที่ 15.4%