ศึกซักฟอก ล็อกเป้าใหญ่ “3 ป” จ้องถล่มบริหาร"โควิด"ผิดพลาด-จัดการม็อบเหลว

ศึกซักฟอก ล็อกเป้าใหญ่ “3 ป” จ้องถล่มบริหาร"โควิด"ผิดพลาด-จัดการม็อบเหลว

เป้าหมายปลายหอก พุ่งไปยังพี่น้อง “3 ป” “บิ๊กตู่ ประยุทธ์ - บิ๊กป้อม ประวิตร - บิ๊กป๊อก อนุพงษ์ ” ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางความมั่นคงของรัฐบาล ซึ่งฝ่ายค้านวางยุทธศาสตร์ถล่ม “3 ป” เป็นหลัก แต่บรรดาเสนาบดีแวดล้อมที่จะถูกรวบเข้ามาชำแหละด้วย ก็ต้องรอลุ้น

งานใหญ่ของ “ฝ่ายค้าน” ส่งท้ายก่อนปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ยังมีโอกาสยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล หลังคำนวณไทม์ไลน์ ล่าสุดจึงได้ข้อสรุปเตรียมยื่นในวันที่ 25 ม.ค.นี้ โดยคาดการณ์ว่ารัฐบาลน่าจะเปิดให้อภิปรายได้ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้

 

ส่วนช่วงเวลาต่อจากนี้ แต่ละพรรคต้องกลับไป “ทำการบ้าน” เพื่อหาประเด็นหมัดเด็ด-หมัดน็อค เพื่อเล่นงานรัฐบาลกลางสภาฯ ให้ได้ เพราะรอบที่แล้วแกนนำหลายคนก็ยอมรับว่า เป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลเลือกตั้งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพิ่งกลับเข้ามาทำงานได้ไม่นาน แต่ไฟต์บังคับจึงจำเป็นต้องยื่น แต่มารอบนี้ถือว่ารัฐบาลทำงานมาเกือบครึ่งเทอมแล้ว และมีประเด็นที่ผิดพลาด ล้มเหลว เป็นที่ประจักษ์

 

แน่นอนว่า “เพื่อไทย” เบอร์ 1 ฝ่ายค้าน ในฐานะพรรคใหญ่สุด ก็ต้องรับหน้าที่นำทัพในศึกซักฟอก จึงต้องดำเนินการทางธุรการ ทั้งยื่นญัตติ จัดสรรเวลาให้แต่ละพรรค เป็นต้น ส่วนการกำหนดประเด็นซักฟอก ได้มีข้อตกลงกันว่า แต่ละพรรคจะนำประเด็นของตัวเองมารวมกัน และเสนอต่อที่ประชุมร่วมพรรคฝ่ายค้านเป็นระยะ

 

สำหรับพรรคเพื่อไทย หลังปรับเปลี่ยนโครงสร้าง เคลียร์ปัญหาภายใน จากกรณี คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์ และพรรคพวกลาออก ทำให้งานใหญ่รอบนี้ เพื่อไทยต้องเปลี่ยนคนทำหน้าที่

 

ปรากฎว่า “นายใหญ่” เลือกปั้นคนใหม่ เลือกใช้บริการแถวสอง รองหัวหน้าพรรค "ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร" ส.ส. มหาสารคาม เป็นคนเดินเกมทั้งบนดิน-ใต้ดิน ชนิดล้างภาพ 2 ทีม ของคุณหญิงสุดารัตน์ และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่นำทัพ ควบคุมกำกับดูแลการอภิปรายฯ ในครั้งที่แล้วเบ็ดเสร็จ

 

แม้ “ยุทธพงศ์” จะทำตัวโลว์โปรไฟล์ แต่ส่วนหนึ่งก็วางยุทธศาสตร์ให้ “ลูกทีม” ที่รวมตัวกันในกลุ่มสามัคคี ขับเคลื่อนตามอยู่เบื้องหลัง  

คอการเมือง เริ่มจะเห็นประเด็นซักฟอก ที่แต่ละพรรคเริ่มส่งสัญญาณ เพื่อไทยชัดเจนว่าจองกฐินเรื่องการต่อสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่ง กทม.เป็นหนี้ “บีทีเอส” อยู่ 9,000 ล้านบาท โดย กทม.อ้างว่ามีสาเหตุจากการให้ประชาชนนั่งฟรี หากไม่ต่อสัญญาหลังวันที่ 16 ก.พ.นี้ ประชาชนอาจต้องจ่ายค่าโดยสารสูงสุดถึง 158 บาท

 

ดังนั้นเป้าหลักจึงโฟกัสไปที่ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ในฐานะกำกับดูแล กทม. และ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ แถมยังโยงปมนี้่ต่อไปยัง “พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง” ผู้ว่าฯ กทม. ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจหัวหน้า คสช. มาตรา 44 แต่งตั้งในดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.ลากยาวมาถึง 5 ปี

 

“ฝ่ายค้านมีหมัดเด็ด หลังการอภิปรายจะทำให้มีคนต้องไปศาลรัฐธรรมนูญต่ออีก และครั้งนี้นายกฯ โดนหนักแน่ ผมเชื่อว่ากรณีรถไฟฟ้าสายสีเขียว พรรคภูมิใจไทยจะยกมือให้กับฝ่ายค้านด้วย” ยุทธพงศ์ การันตีข้อมูลเพื่อไทย

 

ตามเกมนี้ เพื่อไทยรู้ดีว่า หากจัดหนัก “พล.อ.อนุพงษ์” ปมรถไฟฟ้าสายสีเขียวเพียงประเด็นเดียว จะเข้าทางพรรคภูมิใจไทย ที่คุมกระทรวงคมนาคมอยู่ทันที เพราะ “ขุนพลภูมิใจไทย” เห็นต่างจากแกนนำรัฐบาลอย่าง “พลังประชารัฐ” ชัดเจน เรื่องการต่อสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียว จึงหวังจี้จุดให้ภูมิใจไทยร่วมโหวตในทิศทางเดียวกับ “ฝ่ายค้าน”

 

นอกจากนี้ เพื่อไทยกำลังจัดเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบใหม่ เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับ “ขบวนการลักลอบขนแรงงานเถื่อน” เข้ามาในประเทศ โดยจะเชื่อมโยงให้เห็นว่าทุกขั้นตอนมี “เจ้าหน้าที่รัฐ” เข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ อย่างไร

 

ว่ากันว่า ข้อมูลที่มีตอนนี้ “แรงงานเถื่อน” ล็อตที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร นำเข้ามาจากประเทศเมียนมา ผ่านพรมแดนไทย-เมียนมา กว่า 2 แสนคน คิดค่าหัว หัวละ 10,000 บาท โดยข้อมูลดังกล่าวอาจจะต้องหาหลักฐานเพิ่มเติม

 

ขณะเดียวกัน ปมร้อนที่จะปล่อยผ่านไม่ได้คือ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ใน “บ่อนการพนัน” ซึ่งเพื่อไทยเตรียมอัดผู้รับผิดชอบในรัฐบาลเต็มที่ แม้จะมีข้อมูลไม่มากไปกว่าที่ถูกสื่อมวลชนขุดคุ้ยออกมาหมดแล้ว แต่ฝ่ายค้านจะนำมารีรันใหม่ เพื่อเชื่อมโยง “เครือข่ายอิทธิพล” ในพื้นที่ภาคตะวันออกกับ “เครือข่ายสีกากี-สีเขียว” ให้เห็นถึงความผิดพลาด บกพร่องของ “บิ๊กรัฐบาล” รวมถึงรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

ขณะที่ พรรคเสรีรวมไทย ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส แม้เจ้าตัวจะไม่ยังไม่ยอมสลัดประเด็นถวายสัตย์ของนายกฯ ประยุทธ์ ออกจากหล่ม แต่ก็เตรียมขยับอภิปรายเรื่องอื่น ทว่าก็ยังวนอยู่กับเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์  โดย “เสรีพิศุทธ์” จะขยี้ปม"อาศัยบ้านพักหลวง" ต่อ แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีมติให้พ้นผิดแบบเอกฉันท์ไปแล้ว

 

ว่ากันว่า ครั้งนี้จะงัดเอาเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ เซ็นคำสั่งย้อนหลังแก้ระเบียบกองทัพบก ว่าด้วยการเข้าพักอาศัยในอาคารบ้านพักของข้าราชการ และลูกจ้างประจำในกองทัพบก พ.ศ.2555 โดยยกกรณี “พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร” อดีต ผบ.ทบ. มาเทียบเคียง ที่น่าสนใจ งานนี้ “เสรีพิศุทธ์” มี “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” อดีต ส.ว.เป็นติวเตอร์และแบคอัพข้อมูลให้

 

ส่วน "พรรคก้าวไกล" ยังเกาะติดงานถนัด โดยจะโฟกัสไปที่การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ-ตำรวจ ต่อม็อบ “กลุ่มราษฎร” ซึ่งชุมนุมลากยาวมาตั้งแต่กลางปี 2563 จนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะการสลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 16 ต.ค.2563 ที่แยกปทุมวัน

 

นอกจากนี้ "ก้าวไกล"ที่ถนัดงานกฎหมาย จะพุ่งเป้าไปที่การใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มาดำเนินคดีกับ “กลุ่มราษฎร” ซึ่ง ส.ส.ก้าวไกล จะอภิปรายลงลึกในรายละเอียดของคดี และการแจ้งข้อกล่าว เพื่อปูทางไปยังการยื่นญัตติแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หลังเปิดสมัยประชุมสภาฯครั้งหน้าด้วย

 

ขณะเดียวกันก็ยังมีปมร้อนเกี่ยวกับการจับกุมตัว “การ์ดปลดแอก” ที่ตำรวจถูกโจมตีว่าทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ เนื่องจากเป็นการคุมตัวผิดหลักสากล ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาติดต่อญาติ-ทนาย ประเด็นเหล่านี้จะถูกนำไปขยายผลในสภาฯ

 

ประเด็นหลักทั้งหมดทั้งมวล ล้วนแล้วแต่เป้าหมายปลายหอก พุ่งไปยังพี่น้อง “3 ป” “บิ๊กตู่ ประยุทธ์ - บิ๊กป้อม ประวิตร - บิ๊กป๊อก อนุพงษ์ ” ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางความมั่นคงของรัฐบาล ซึ่งฝ่ายค้านวางยุทธศาสตร์ถล่ม “3 ป” เป็นหลัก แต่บรรดาเสนาบดีแวดล้อมที่จะถูกรวบเข้ามาชำแหละด้วย ก็ต้องรอลุ้นว่า จะมีใครโดนหางเลขเที่ยวนี้ด้วย

 

ถึงแม้ฝ่ายค้านจะตั้งเป้าไว้สูง แต่ก็ต้องลุ้นกันว่า จะมีประเด็นเด็ด และการวางเกม-วางคน เพื่อเขย่ารัฐบาล สร้างความสั่นสะเทือนได้มากน้อยแค่ไหน อีกทั้งพรรคฝ่ายค้านอาจจะต้องใช้เวทีซักฟอกรอบนี้เคลียร์กันเอง ต่อข้อครหาเอื้อคนในรัฐบาล จนส่งผลให้ไม่ไว้วางใจกันเองในรอบที่แล้ว และกลับมาสร้างความเชื่อมั่นให้ได้