'มหาดไทย-พลังงาน-ทรัพยากรธรรมชาติ' สั่งผู้ว่าฯ เร่งขับเคลื่อนโครงการรัฐช่วยเหลือปชช.

'มหาดไทย-พลังงาน-ทรัพยากรธรรมชาติ' สั่งผู้ว่าฯ เร่งขับเคลื่อนโครงการรัฐช่วยเหลือปชช.

"มหาดไทย-พลังงาน-ทรัพยากรธรรมชาติ" ร่วมประชุมสั่งผู้ว่าฯ-นายอำเภอทั่วประเทศ เร่งขับเคลื่อนโครงการรัฐช่วยปชช.

ที่ห้องประชุมราชสีห์ อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พล..อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้การต้อนรับ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานร่วมการประชุมชี้แจงข้อราชการสำคัญ โดยมีนายฉัตรชัย พรหมเลิศปลัดกระทรวงมหาดไทย นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารระดับสูง หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมการประชุม โดยเป็นการประชุมผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกลและ DOPA Channel ไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการส่วนกลางประจำภูมิภาค นายอำเภอ ปลัดอำเภอ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ

161060309728

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า กระทรวงพลังงานขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัด ให้ดำเนินการขับเคลื่อนแนวทางการพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กลุ่มงานส่งเสริมอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนเศรษฐกิจฐานราก ปีงบประมาณ ..2564 วงเงิน 2,400 ล้านบาท จากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปี 2564 มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยใช้กลไกการสนับสนุนเทคโนโลยีพลังงานทดแทนหรือการอนุรักษ์พลังงานที่เหมาะสมกับกลุ่มแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร กลุ่มวิสาหกิจชุมชนสหกรณ์กลุ่มเกษตรกร ที่มีความพร้อมในการบริหารจัดการเทคโนโลยีพลังงานที่เหมาะสม และเพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงการใช้พลังงานแบบพึ่งพาตนเองในพื้นที่ห่างไกล ไม่มีไฟฟ้าใช้ เพราะการจัดสรรเงินกองทุนฯ นี้จะช่วยเศรษฐกิจฐานราก ให้เกิดการกระจายไปยังทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง โดยกระทรวงพลังงานจะสนับสนุนการทำงานผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์จากโครงการให้มากที่สุด

161060311151

นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การจัดสรรเงินกองทุนฯ ดังกล่าว ในส่วนของจังหวัดวงเงินจังหวัดละ 25 ล้านบาทโดยใช้เทคโนโลยีพลังงานทดแทนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน แบ่งเป็น 3 ประเภท 1.สถานีพลังงานชุมชน เป็นการส่งเสริมเทคโนโลยีพลังงานภายใต้แนวคิด ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ โดยสามารถขอรับการสนับสนุนเทคโนโลยีเดี่ยวหรือหลายเทคโนโลยีที่ประกอบกัน โดยมีรูปแบบของการร่วมจ่าย (Co-Pay) เช่น ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์แบบเคลื่อนที่ เตาชีวมวลประสิทธิภาพสูง และระบบผลิตแก๊สชีวภาพจากของเสีย เป็นต้น 2.ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับบ่อบาดาล โซล่าเซลล์ขนาด 2.5 กิโลวัตต์ และถังพักน้ำขนาดบรรจุ 20 ลูกบาศก์เมตร และ 3.ระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับพื้นที่ที่ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง ไม่มีไฟฟ้า ได้แก่บ้านอยู่อาศัย กลุ่มชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และโรงเรียนในสังกัดรัฐบาล โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและส่วนราชการ จะเสนอโครงการผ่านคณะทำงานบูรณาการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านพลังงานเชิงพื้นที่ทำการกลั่นกรอง เรียงลำดับความสำคัญเสนอคณะกรรมการบริหารจังหวัดแบบบูรณาการ (กบจ.) เพื่อนำเสนอไปยัง คณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานต่อไป

161060318599

ขณะที่นายวราวุธ กล่าวว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมกันขับเคลื่อนภารกิจที่สำคัญทางด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระดับพื้นที่ตามนโยบายรัฐบาลใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.การแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และ PM2.5 ด้วยการพิจารณาจัดตั้งชุดปฏิบัติการมวลชนลงพื้นที่สร้างการรับรู้ความเข้าใจและเข้ามามีส่วนในการลดต้นเหตุการณ์เกิดไฟป่า หมอกควัน และ PM2.5 ร่วมกันระหว่าง ทส.ฝ่ายปกครอง ทหาร และจิตอาสาพระราชทาน รวมถึงส่งเสริมบทบาทเครือข่ายภาคประชาชน อปท.และผู้นำชุมชน รวมทั้งขอให้การลดและควบคุมการเผาในพื้นที่เกษตรอย่างเข้มงวด พร้อมทั้งควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษอื่น เช่น การจราจร ภาคอุตสาหกรรม ควบคู่ไปด้วย

2.การปลูกป่า สร้างฝาย ระบบกระจายน้ำ พื้นที่ป่าต้นน้ำ โดยให้ทุกจังหวัดเร่งรัดขับเคลื่อนโครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่าตามคู่มือที่ ทส.ได้จัดทำไว้ ตามแผน 2.68 ล้านไร่ในปี 2570 เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้งในและนอกเขตป่าร่วมกับชุมชน อปท.และทุกภาคส่วนตามความเหมาะสมของสภาพพื้นที่ รวมทั้งพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการโครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่าระดับจังหวัดให้แล้วเสร็จภายในเดือน ..2564 และการสร้างความเข้าใจกับประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ป่าต้นน้ำ การจัดทำโครงการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน ในการปลูกป่าต้นน้ำ อีกทั้งพิจารณาประสาน อปท.ร่วมกับชุมชน จัดตั้งเรือนเพาะชำชุมชน

3.การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ภายใต้ คทช.โดยเร่งรัดให้เกิดการอนุญาตการเข้าทำประโยชน์ของชุมชนในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ 375 พื้นที่ หรือ 1,890,648 ไร่ใน 63 จังหวัด รวมถึงสำรวจพื้นที่สนับสนุนแหล่งน้ำ และสร้างอาชีพให้กับประชาชนในพื้นที่ คทช. นอกจากนี้ยังมีพื้นที่จำนวน 4.75 ล้านไร่ ในการสำรวจและรังวัดแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติ เพื่อจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ให้ครบถ้วนแล้วเสร็จภายในเดือน ..2564

4.การขออนุญาตการใช้ประโยชน์ของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โดยการขออนุญาตการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่ก่อสร้างไปก่อนได้รับการอนุญาตนั้น ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแจ้งส่วนราชการที่ยื่นคำขอจัดเตรียมรายละเอียดประกอบคำขอให้ถูกต้องครบถ้วน ให้กับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด หรือสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่โดยเร่งด่วน ส่วนการขออนุญาตการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ (โครงการใหม่) ขอให้เร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ภายใน 31 ..2564 โดย ทส.จะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้แล้วเสร็จภายในเดือน มี..2564

161060321889

ด้านพล..อนุพงษ์ ได้กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนำแนวนโยบายและโครงการต่างๆ ของกระทรวงพลังงานและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นโครงการที่ต้องอาศัยการบูรณาการร่วมกันของส่วนราชการในส่วนภูมิภาค ไปขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นไปตามเป้าหมายที่กระทรวงและรัฐบาลกำหนด เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนตามวัตถุประสงค์ต่อไป.