‘ดาวโจนส์’ปรับตัวแคบก่อน‘ไบเดน’ออกมาตรการกระตุ้นศก.

‘ดาวโจนส์’ปรับตัวแคบก่อน‘ไบเดน’ออกมาตรการกระตุ้นศก.

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดวันพุธ(13ม.ค.)ปรับตัวลงในกรอบแคบก่อนที่นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ จะประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในวันนี้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 8.22 จุด หรือ 0.03% ปิดที่ 31,060.47 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 8.65 จุด หรือ 0.23% ปิดที่ 3,809.84 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 56.52 จุด หรือ 0.43% ปิดที่ 13,128.95 จุด

นายไบเดนเตรียมประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในวันพรุ่งนี้เพื่อเยียวยาชาวสหรัฐและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยมาตรการดังกล่าวจะมีมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์

คาดว่านายไบเดนจะขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว หลังจากที่เขาเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20 ม.ค. ขณะที่พรรคเดโมแครตสามารถครองอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งในทำเนียบขาว วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะเอื้อต่อการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ หลังจากที่ถูกขัดขวางก่อนหน้านี้จากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นไม่มากนัก เพราะถูกกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับการดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐ

ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นแตะระดับ 1.174% เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 20 มี.ค.2563 ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 1.904% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2563 เช่นกัน

นักลงทุนกังวลว่าการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะทำให้ภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจชะลอการซื้อพันธบัตรรัฐบาล รวมถึงตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (เอ็มบีเอส)

สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจะลงมติต่อญัตติถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในวันนี้ หลังจากที่เขาได้ยุยงปลุกปั่นให้กลุ่มผู้สนับสนุนของเขาบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เพื่อขัดขวางกระบวนการประกาศรับรองชัยชนะของนายไบเดนในการเลือกตั้งประธานาธิบดี

คาดว่าญัตติดังกล่าวจะผ่านการรับรองจากสภาผู้แทนฯ แต่ก็อาจถูกคว่ำในวุฒิสภา เนื่องจากขาดเสียงสนับสนุนที่เพียงพอ

ด้านปธน.ทรัมป์กล่าวว่า การถอดถอนเขาออกจากตำแหน่ง เป็นเรื่องที่อันตรายสำหรับสหรัฐ ขณะที่จะสร้างความไม่พอใจต่อชาวอเมริกันจำนวนมาก

คำกล่าวของปธน.ทรัมป์สร้างความกังวลว่ากลุ่มผู้สนับสนุนเขาอาจก่อความรุนแรง ขณะที่นายไบเดนมีกำหนดเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 20 ม.ค.

นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกต่อการที่หุ้นเริ่มมีราคาแพง โดยขณะนี้ ค่า Forward P/E Ratio ของดัชนี S&P 500 อยู่ที่ 22.7 เท่า ซึ่งใกล้ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2543

ทั้งนี้ ค่า Forward P/E Ratio ที่พุ่งขึ้นจะเป็นการส่งสัญญาณถึงการทรุดตัวลงของตลาดในระยะต่อไป โดยขณะนี้ราคาหุ้นมีมูลค่าสูงเมื่อเทียบกับมาตรฐานในช่วงที่ผ่านมา

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาส 4/2563 ของบริษัทจดทะเบียน โดยเจพีมอร์แกน ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก จะเปิดเผยผลประกอบการในวันศุกร์นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า บริษัทในดัชนีเอสแอนด์พี 500 จะมีผลประกอบการลดลง 9.8% ในไตรมาส 4/2563 แต่จะพุ่งขึ้น 16.4% ในไตรมาส 1/2564

นายแจน แฮตซิอุซ หัวหน้านักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ กล่าวเตือนว่า ตลาดหุ้นและพันธบัตรของสหรัฐอาจปรับฐานอย่างรุนแรงในไม่ช้า เนื่องจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และการที่เฟดเริ่มชะลอการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และหากพิจารณาตั้งแต่เดือนมี.ค.2563 ซึ่งเป็นช่วงที่ไวรัสโควิด-19 เริ่มแพร่ระบาดในสหรัฐ ดัชนีดาวโจนส์และดัชนีเอสแอนด์พี500 พุ่งขึ้นเกือบ 70% แล้ว ขณะที่ดัชนีแนสแด็ดทะยานขึ้นกว่า 80%

อย่างไรก็ดี อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีได้พุ่งขึ้นทะลุ 1% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่พรรคเดโมแครตสามารถคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในรัฐจอร์เจีย ทำให้ทางพรรคสามารถครองอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งในทำเนียบขาว วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร

ทั้งนี้ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐถือเป็นพันธบัตรอ้างอิงสำหรับตราสารหนี้ทั่วโลก การดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจึงส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของตราสารหนี้ทั่วโลกปรับตัวขึ้นเช่นกัน ทำให้บริษัทต่างๆต้องใช้เงินในการชำระหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อสถานะทางการเงิน และราคาหุ้นของบริษัท

นอกจากนี้ การที่เฟดจะเริ่มชะลอการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านทางการลดวงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) จะทำให้เฟดลดการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอย่างรุนแรงดังที่เห็นได้จากในปี 2556

อย่างไรก็ดี นายแฮตซิอุซกล่าวว่า โกลด์แมน แซคส์ยังคงมีความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นสหรัฐในระยะยาว โดยเชื่อว่าตลาดจะยังคงมีช่วงขาขึ้นต่อไป โดยได้ปัจจัยบวกจากการที่อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ และมาตรการทางการคลังยังคงเอื้อต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โกลด์แมน แซคส์ได้ปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ โดยคาดว่าจะมีการขยายตัว 6.4% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 5.6% ขานรับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ภายใต้รัฐบาลของนายไบเดน

ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ดีดตัวขึ้น 0.4% ในเดือนธ.ค. หลังจากปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ย.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนีซีพีไอพุ่งขึ้น 1.4% หลังจากปรับตัวขึ้น 1.2% ในเดือนพ.ย.

การปรับตัวขึ้นของดัชนีซีพีไอในเดือนธ.ค.ได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาพลังงาน

นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนีซีพีไอเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน และ 1.3% เมื่อเทียบรายปี