'อ้วน' อย่างไร ไม่ให้เสี่ยงโคม่าจาก 'โควิด-19' !?

'อ้วน' อย่างไร ไม่ให้เสี่ยงโคม่าจาก 'โควิด-19' !?

ลดความอ้วน อาจไม่ทัน! เมื่อโรคอ้วนและเบาหวาน คือ ปัจจัยร่วมสำคัญต่ออาการ "โคม่า" เมื่อติดเชื้อโควิด-19 "กรุงเทพธุรกิจ" ชวนเปิดวิธีดูแลตัวเองสำหรับคนอ้วนและผู้ป่วยเบาหวานให้ปลอดภัยจากการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่

แม้ในปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลสรุปแน่ชัดว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานและโรคอ้วนมีโอกาสติดเชื้อ COVID-19 ได้มากกว่าคนทั่วไป แต่ในผู้ป่วยโรคอ้วน หรือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่สามารถคุมน้ำตาลให้อยู่ในระดับที่ปกติได้ เมื่อติดเชื้อ COVID-19 แล้วมีโอกาสที่จะมีอาการรุนแรงหรือมีผลข้างเคียงมากกว่าคนทั่วไป 

ล่าสุด ผศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก รพ.จุฬาลงกรณ์ เปิดเผยข้อมูลทางการแพทย์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Opass Putcharoen โดยยืนยันว่า ภาวะความเสี่ยงรุนแรงของผู้ติดเชื้อโควิค19 นอกจากเรื่องของสูงอายุแล้ว เรื่องของน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ก็เป็นปัจจัยที่เพิ่มความรุนแรงของโรคอย่างมีนัยสำคัญด้วย ซึ่งข้อมูลระบุว่า น้ำหนักตัวทุกกิโลที่เพิ่มขึ้นเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคโควิดที่รุนแรง

ขณะที่ปัจจัยที่คนมักจะนึกถึงว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโควิดที่รุนแรง คือ ผู้สูงอายุ หรือมีโรคประจำตัว แต่ที่น้ำหนักเกินก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคที่รุนแรง มีการศึกษาพบว่าอัตราการนอนโรงพยาบาลสูงขึ้นตามน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น

สาเหตุที่คนอ้วนอาจมีโอกาสที่เกิดโรคที่รุนแรงกว่าคนทั่วไปนั้น เกิดขึ้นจากปอดที่ทำงานลดลง ภูมิคุ้มกัน T cell ทำงานน้อยกว่าปกติ เกิดลิ่มเลือดในปอดได้ง่ายขึ้น หรือบางคนเป็นเบาหวาน ปัจจัยทั้งหมดเพิ่มความรุนแรงของโรค ดังนั้นแม้ว่าจะอายุน้อยๆ ถ้าอ้วนก็มีโอกาสเกิดโรคที่รุนแรงเสียชีวิตจากโควิดได้เท่าคนอายุมาก

160984308914

  • เบาหวานกับ Covid-19

ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมน้ำตาลได้ไม่ดีมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากการติดเชื้อไวรัส COVID-19 มากกว่าคนทั่วไปเนื่องจาก ระดับน้ำตาลที่สูงกว่าค่าปกติ จะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานลดลง ทำให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้ไม่ดี ไวรัสสามารถเติบโตและกระจายตัวได้ง่ายขึ้น

  • โรคร่วมหรือผลข้างเคียงจากเบาหวาน ผู้ป่วยเบาหวานที่คุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี มักจะมีโรคร่วม หรือผลข้างเคียงจากเบาหวานร่วมด้วย ซึ่งการที่มีโรคร่วมดังกล่าวทำให้เมื่อติดเชื้อไวรัส COVID-19 มีโอกาสที่จะมีอาการรุนแรงมากขึ้น มีผลข้างเคียงง่ายและเพิ่มขึ้นได้
  • ปฏิกิริยาการอักเสบจากการติดเชื้อไวรัส ทำให้การควบคุมเบาหวานทำได้แย่ลง เมื่อผู้ป่วยเบาหวานติดเชื้อไวรัส COVID-19 ร่างกายจะมีปฏิกิริยาต่อต้านไวรัสและเกิดการอักเสบ ปฏิกิริยาการอักเสบจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดยิ่งสูงขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันและโรคที่เป็นผลข้างเคียงจากเบาหวานดังกล่าวข้างต้น 

ทั้งนี้ปัจจัยที่มีผลต่อความรุนแรงของโรค หากผู้ป่วยเบาหวานได้รับเชื้อ COVID-19 ขึ้นอยู่กับอายุ ระดับน้ำตาลในเลือด โรคร่วม หรือผลข้างเคียงจากโรคเบาหวานที่ผู้ป่วยเป็นอยู่  ไม่ได้ขึ้นกับว่าผู้ป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 หรือชนิดที่ 2

  • โรคอ้วน กับ Covid-19

ผู้ป่วยโรคอ้วนมักจะมีโรคร่วมหรือผลข้างเคียงจากโรคอ้วนร่วมด้วย ซึ่งถ้ามีการติดเชื้อ COVID-19 มีโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงมากกว่าคนทั่วไป คล้ายคลึงกับโรคเบาหวาน  นอกจากนี้คนที่มีโรคอ้วนโดยเฉพาะคนที่มีดัชนีมวลกาย (Body Mass Index) สูงๆ อาจมีผลทำให้การขยายตัวของปอดทำได้จำกัด ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นเมื่อมีการติดเชื้อไวรัสที่ปอด ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อผู้ป่วยโรคอ้วนมีอาการป่วยหนักและต้องเข้ารักษาในห้องภาวะวิกฤติ (ICU) อาจจะมีปัญหาในการใส่ท่อช่วยหายใจ การหาเตียงที่รองรับน้ำหนักได้มากๆ หรือ การทำ X-Ray Computer ที่อาจจำกัดขนาดและน้ำหนักของผู้ป่วย 

160984313214

  • 7 วิธีดูแลสุขภาพผู้ป่วยเบาหวานและโรคอ้วน

ในสถานการณ์ที่เชื้อไวรัส COVID-19 กำลังระบาด วิธีดูแลสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานและผู้ป่วยโรคอ้วน นอกจากการล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการจับใบหน้า หลีกเลี่ยงการติดต่อกับผู้ที่มีประวัติเสี่ยงต่อการติดเชื้อ COVID-19 และการพยายามเว้นระยะห่างทางสังคม ได้แก่ 

160984315219

  1. คุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ผู้ป่วยเบาหวานมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงหลังจากการติดเชื้อไวรัส COVID-19 มากกว่าบุคคลทั่วไปหากควบคุมเบาหวานได้ไม่ดี จึงควรควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ วัดระดับน้ำตาลปลายนิ้วอย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์ผู้ดูแลแนะนำ
  2. ดูแลสุขภาพกายใจ ผู้ป่วยเบาหวานควรออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ถูกสุขอนามัย และลดความเครียด การมีสุขภาพกายและใจที่ดีจะเป็นส่วนช่วยในการป้องกันการติดเชื้อ
  3. ดื่มน้ำแต่ละวันให้ได้ปริมาณที่เพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงอากาศร้อน เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานเมื่อขาดน้ำระดับน้ำตาลจะยิ่งสูงขึ้น
  4. เตรียมอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล (คาร์โบไฮเดรต) ให้เพียงพอที่บ้าน เนื่องจากในกรณีที่เกิดภาวะน้ำตาลต่ำจะสามารถแก้ไขระดับน้ำตาลได้ทันที
  5. เตรียมยาประจำตัวที่บ้านให้เพียงพอ โดยเฉพาะในกรณีที่จำเป็นต้องกักกัน (Quarantine) ตัวเองอยู่ที่บ้าน 2 – 3 สัปดาห์ 
  6. บันทึกเบอร์โทรศัพท์สำคัญ ทั้งเบอร์โทรศัพท์ของโรงพยาบาลที่รักษาอยู่ เบอร์โทรศัพท์ของแพทย์ที่ทำการรักษาเพื่อให้สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ทันทีในกรณีฉุกเฉินและควรให้คนใกล้ชิดบันทึกเบอร์โทรศัพท์นี้ไว้ด้วย
  7. หมั่นสังเกตอาการตนเอง หากมีอาการติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ไข้ หายใจหอบเหนื่อย ไอ น้ำมูก เจ็บคอควรปรึกษาแพทย์ทันที นอกจากนี้หากมีอาการที่เป็นผลจากระดับน้ำตาลที่ผิดปกติ เช่น หน้ามืด ใจสั่น มือสั่น มึนงง เหงื่อออกมาก คลื่นไส้ อาเจียน ความรู้สึกตัวลดลง หรือวัดระดับน้ำตาลที่บ้านแล้วค่าระดับน้ำตาลต่ำหรือสูงกว่าภาวะปกติ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด

ที่มา :  bangkokhospital Opass Putcharoen