'ทรัมป์'ทิ้งทวนถอด3บ.จีนจากตลาดหุ้นสหรัฐ

'ทรัมป์'ทิ้งทวนถอด3บ.จีนจากตลาดหุ้นสหรัฐ

ถอด3บ.จีนจากตลาดหุ้นสหรัฐผลงานทิ้งทวน“โดนัลด์ ทรัมป์” ขณะจีนประกาศ จะดำเนินการตามความจำเป็นเพื่อคุ้มครองสิทธิของบริษัทจีน และหวังว่าทั้งสองประเทศจะปฏิบัติต่อธุรกิจและนักลงทุนอย่างยุติธรรม

ราคาหุ้นบริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ 3 แห่งของจีนอันได้แก่ ไชนาเทเลคอม ไชนาโมบายล์ และไชนายูนิคอม (ฮ่องกง) ร่วงลงอย่างหนักในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นฮ่องกงช่วงเช้าวานนี้ (4ม.ค.)หลังจากตลาดหุ้นนิวยอร์กประกาศถอดถอนบริษัททั้ง 3 แห่งออกจากตลาด โดยราคาหุ้นไชนาเทเลคอม ร่วงลง 5.6% ขณะที่หุ้นไชนาโมบายล์ ดิ่งลง 4.5% และหุ้นไชนายูนิคอม ร่วงลง 3.4%

เมื่อวันพฤหัสบดี (31ธ.ค.)ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นนิวยอร์กถอดบริษัทไชนาเทเลคอม ไชนาโมบายล์ และไชนายูนิคอม (ฮ่องกง) ออกจากการซื้อขายในตลาด เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งของคณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่ประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัทที่ถูกควบคุมหรือเป็นเจ้าของโดยกองทัพจีน

เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ปีที่แล้ว ปธน.ทรัมป์ได้ลงนามบังคับใช้กฎหมาย “The Holding Foreign Companies Accountable Act” ซึ่งเป็นกฎหมายใหม่ที่อาจจะถอดหุ้นของบริษัทจีนออกจากตลาดหุ้นสหรัฐ หากไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานการตรวจสอบบัญชี Public Accounting Oversight Board (PCAOB) ของสหรัฐภายในระยะเวลา 3 ปี

แม้กฎหมายนี้จะออกมาเพื่อบังคับใช้กับบริษัทต่างชาติทั้งหมดที่จดทะเบียนในสหรัฐ แต่ก็ถูกมองว่าเป็นการพุ่งเป้าไปที่บริษัทของจีนโดยเฉพาะ ถือเป็นความพยายามอีกครั้งของรัฐบาลปธน.ทรัมป์ที่จะเพิ่มความตึงเครียดกับจีนในสัปดาห์ท้ายๆ ก่อนที่ทรัมป์จะอำลาตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ

ขณะที่นักวิเคราะห์จากบลูมเบิร์ก อินเทลลิเจนส์ คาดการณ์ว่า รัฐบาลสหรัฐอาจถอดถอนบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของจีนออกจากการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กด้วย หลังจากตลาดหุ้นนิวยอร์กเริ่มกระบวนการถอดบริษัทโทรคมนาคมชั้นนำของจีนออกจากตลาดหุ้น

บริษัทน้ำมันรายใหญ่ของจีนที่อยู่ในข่ายถูกถอด รวมถึงบริษัทไชนา เนชันแนล ออฟชอร์ ออยล์ คอร์ป (ซีนุค) บริษัทปิโตรไชนา และบริษัทซิโนเปค โดยบริษัทเหล่านี้ถูกจับตาเพราะภาคพลังงานมีบทบาทสำคัญต่อกองทัพจีน

แถลงการณ์จากตลาดหุ้นนิวยอร์กระบุว่า บริษัทที่กำลังจะถูกถอดออกเหล่านี้ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กอีกต่อไปแต่ผู้บริหารรายหนึ่งจากธนาคารยูโอบีในฮ่องกงให้ความเห็นว่า การถอดบริษัทโทรคมนาคมกลุ่มนี้ออกจากตลาดหุ้นนิวยอร์กไม่น่าจะส่งผลกระทบมากนัก เนื่องจากปริมาณการซื้อขายหุ้นของบริษัทเหล่านี้ค่อนข้างน้อยและตัวบริษัทเองก็ได้เงินจากการระดมทุนไม่มากนัก

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์จีนตอบโต้ว่า จีนจะดำเนินการตามความจำเป็นเพื่อคุ้มครองสิทธิของบริษัทจีน และหวังว่าทั้งสองประเทศจะปฏิบัติต่อธุรกิจและนักลงทุนอย่างยุติธรรม

กระทรวงพาณิชย์ของจีน บอกว่าสิ่งที่สหรัฐอเมริกาทำ เป็นการละเมิดความมั่นคงของจีนและสร้างความไม่เสมอภาคในทางการตลาด ที่สำคัญการกระทำลักษณะนี้ของสหรัฐไม่ได้เป็นการทำร้ายเพียงแค่บริษัทจีนเท่านั้น แต่ยังทำลายผลประโยชน์ของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงผลประโยชน์ของสหรัฐเอง ซึ่งหลังจากนี้ไป จีนจะตอบโต้เพื่อทวงคืนสิทธิ์อันชอบธรรมและผลประโยชน์ของบริษัทจีนกลับคืนมา

อย่างไรก็ตาม “แบรนดัน อาเฮิร์น” หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนจากเครนแชร์ บริษัทเพื่อการลงทุน ให้ความเห็นว่า นับจากนี้ไปจะไม่ได้เห็นบริษัทจีนถูกถอดออกจากตลาดหุ้นสหรัฐอีก สถานการณ์การเมืองในสหรัฐจะเปลี่ยนไป โดยเฉพาะในยุคการบริหารประเทศของนายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐที่จะสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20 ม.ค.ที่จะถึงนี้

“สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนจะเปลี่ยนไปหลังจากไบเดนสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดี ในส่วนของจีนเองก็ต้องการเริ่มความสัมพันธ์บทใหม่กับสหรัฐ”อาเฮิร์น กล่าว

ด้าน“โรนัลด์ หว่าน” ประธานพาร์ทเนอร์ ไฟแนนเชียล โฮลดิงส์ มองว่า “จะไม่มีการตอบโต้อย่างรุนแรงจากทางการปักกิ่งในกรณีที่ตลาดหุ้นสหรัฐถอดบริษัทจีนออกจากตลาดหุ้น เพราะในความเป็นจริงแล้วจีนเองยังต้อนรับเงินทุนจากสหรัฐที่หลั่งไหลเข้ามาในจีน ในเอเชีย หรือในฮ่องกงอยู่”

ที่ผ่านมา “หวัง อี้” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน เรียกร้องให้สหรัฐและจีน หารือร่วมกันเพื่อสร้างหลักประกันที่มั่นคงระยาวในประเด็นของสองชาติ ผ่านการเปิดเจรจาแบบทวิภาคี เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้กลับมาราบรื่น และสร้างความเชื่อมั่นซึ่งกันและกันอีกครั้ง

ท่าทีของ รมว.ต่างประเทศจีนมีขึ้นระหว่างการหารือผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ร่วมกับคณะกรรมการของสภาธุรกิจสหรัฐ - จีน (ยูเอสซีบีซี) ว่า “เราจำเป็นต้องพยายามเริ่มการสนทนาใหม่อีกครั้ง กลับมาให้ถูกทางและสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันในระยะยาวต่อไปในความสัมพันธ์ของจีน-สหรัฐฯ”

หวังยังกล่าวด้วยว่า ในฐานะชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและเป็นสมาชิกสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ทั้งจีนและสหรัฐต่างมีผลประโยชน์ร่วมกันในหลายด้าน รวมถึงมีความร่วมมือกันในหลายประเด็น ดังนั้น ทั้งสองชาติควรร่วมโต๊ะเจรจา และสานต่อความร่วมมือเพื่อสร้างสันติภาพและความรุ่งเรืองให้กับมนุษยชาติ

รมว.ต่างประเทศจีนยังพยายามผลักดัน 5 ข้อเสนอที่จะสนับสนุนการพัฒนาความสัมพันธ์ในระยะะยาวของสองชาติ 1. การเข้าใจจีนในเชิงกลยุทธ์อย่างถูกต้อง 2. เสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการสื่อสารและเจรจา 3. ขยายความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย 4. จัดการข้อพิพาทและความขัดแย้ง และ 5. เพิ่มการสนับสนุนต่อความสัมพันธ์ในระดับทวิภาคี

ผู้เชี่ยวชาญมองว่านโยบายของสหรัฐต่อจีน ในยุคการบริหารประเทศของนายไบเดน อาจไม่เข้มงวดในประเด็นด้านการค้าเหมือนยุคทรัมป์ แต่สหรัฐจะใช้ประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนในซินเจียง หรือความมั่นคงในฮ่องกง รวมถึงประเด็นที่จีนพยายามแผ่ขยายอิทธิพลในทะเลจีนใต้ มากดดันรัฐบาลปักกิ่งแทน