5 จุดเปลี่ยนทาง 'การเงิน' ที่ทำให้ทุกราศี มีโอกาส 'รวย'!

5 จุดเปลี่ยนทาง 'การเงิน' ที่ทำให้ทุกราศี มีโอกาส 'รวย'!

จุดเปลี่ยนที่ทำให้ "รวย" ขึ้น หรือ จนลง ได้ ไม่ได้มีแค่โชคชะตา แต่เริ่มต้นได้จากแนวคิด และพฤติกรรม "การเงิน" ที่ซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวันของเราทุกคน

เริ่มต้นศักราชใหม่ หลายคนต่างตั้งเป้าหมายในแบบของตัวเอง หนึ่งในเป้าหมายยอดฮิตหรือความใฝ่ฝันที่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเองคือ "ขอให้รวย" แต่แน่นอนว่ามีคนเกิน 99% ที่อาจจะต้องผิดหวัง เพราะการนั่งรอโชคชะตาลิขิตเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ทว่า ทุกความสำเร็จมักจะเริ่มต้นที่ "แนวคิด" และ "การลงมือทำ" ไม่เว้นแม้แต่เรื่องเงินๆ ทองๆ 

"กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" พาไปดูแนวคิดทางการเงิน 2 ด้าน ที่ทำให้ที่ปลดล็อกตัวเองออกจากแนวคิดที่เป็นกับดักของความจน ไปสู่แนวคิดใหม่ที่จะนำไปสู่หนทางรวย เมื่อเริ่มลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง

160943132389

  •  เงินในอนาคตก็เงินเรา : เงินอนาคตไม่มีในโลก 

สาเหตุที่แนวคิด “เงินอนาคตก็คือเงินเรา” เป็นกับดักความจน เพราะการจินตนาการถึงเงินเดือนหน้า เดือนถัดๆ ไป โบนัสที่คาดว่าจะได้ในอนาคต ฯลฯ มาเป็นเหตุผลสนับสนุนในการใช้จ่าย โดยที่ยังไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าหรือในบัญชี ทำให้ใช้เงินโดยขาดความระมัดระวัง โดยเฉพาะเงินอนาคตจากบัตรเครดิต ที่หยิบใช้ได้สะดวกสบายที่ทำให้พลั้งมือใช้เงินได้ง่ายๆ ยิ่งไม่เข้าใจการใช้งานที่ถูกต้อง หนี้ยิ่งเพิ่มพูน และยากที่จะเก็บออมได้ 

เมื่อใช้เงินจำนวนที่คิดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตตั้งแต่วันนี้ พออนาคตมาถึง ก็จำเป็นต้องนำเงินที่มีไปชดใช้เงินอนาคต ไม่เหลือเงินไว้ใช้ แล้ววังวนนี้จะเกิดขึ้นวนเวียนไม่รู้จบ 

ในมุมตรงกันข้ามถ้ามีแนวคิดว่า “เงินอนาคตไม่มีในโลก” จะทำให้รู้ตัวอยู่เสมอว่าต้องมีเท่านั้นถึงจะซื้อของได้ ตราบใดที่ยังไม่มีเงิน อยู่ในมือต้องไม่ใช้จ่ายไปล่วงหน้า โดยเฉพาะกับของที่แค่อยากได้ แต่ไม่จำเป็น

ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อทุกครั้ง หันมองเงินในกระเป๋า และเงินในบัญชี เพื่อประเมินกำลังทรัพย์ของตัวเอง ลองจินตนาการถึงผลเสียในอนาคต ก่อนที่จะใช้เงินในอนาคต (ที่ไม่มีอยู่จริง) ช่วยลดโอกาสเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์มากขึ้น

  •  Sale ต้องซื้อ : Sale จุดระเบิดต่อมยั้งคิด 

หลายคนกำลังติดกับ กลยุทธ์การลดราคาและมีแนวคิดว่า "Sale ต้องซื้อ" เพราะมองว่าการซื้อของลดราคานั้น “คุ้มค่า” กว่าการซื้อแบบปกติ ยิ่งซื้อก็ยิ่งคุ้ม 

ทั้งที่ความเป็นจริง ความคุ้มค่าจะเกิดขึ้นต่อเมื่อ สินค้าราคาโปรโมชันนั้นๆ เป็นของจำเป็น หรือเกิดประโยชน์ในชีวิต (จริงๆ) แต่ในทางกลับกัน หากสินค้าโปรโมชันที่กำลังจะซื้อ เป็นของที่คล้ายกับที่มีอยู่เดิม หรือเป็นของที่ซื้อเพื่อตอบสนองแค่ “ความอยาก” เงินที่ทุ่มไปซื้อไปตามอารมณ์ ยิ่งซื้อ ยิ่งสนุก แต่ของที่ได้มาไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เลย แล้วต่างอะไรกับทำเงินหล่นหาย? และนี่คือเหตุผลที่ป้าย “Sale” ทำให้หลายคนเดินวนเวียนอยู่บนปากเหวของความจนไม่รู้จบ 

หากมองในมุมกลับ ความเพลิดเพลินเวลาใช้จ่าย การได้มาในสิ่งที่คิดว่าคุ้มค่ามากกว่าที่เคย ทำให้อาจเรียกได้ว่า “Sale คือจุดระเบิดต่อมยั้งคิด” การใช้จ่ายอย่างมีสติ และหลีกเลี่ยงการเดินเข้าหาจุดระเบิดต่อมยั้งคิด จึงเป็นแนวคิดที่ช่วยให้ควบคุมการใช้จ่ายที่มากับความอยากได้มากขึ้น และบาลานซ์เงินกับไลฟ์สไตล์ได้ดีขึ้นตามไปด้วย

157976790425

  •  จ่ายเครดิตขั้นต่ำก็พอ : รูดเท่าไหร่ จ่ายเท่านั้น  

คุณสมบัติของบัตรเครดิตจริงๆ แล้วคือการใช้เครดิตที่ผู้ใช้แต่ละมีไปล่วงหน้า เพื่อให้ไม่จำเป็นต้องพกเงินสดจำนวนมากๆ แต่ปัจจุบันบัตรเครดิตถูกนำมาใช้งานแบบเงินผ่อน ยิ่งไปกว่านั้นหลายคนยังใช้บัตรเครดิตเป็นแหล่งเงินผ่อน อยากได้รูดไปก่อน ค่อยผ่อนทีละนิด

“จ่ายเครดิตขั้นต่ำก็พอ...ใครจะไปจ่ายหมด ถ้าจ่ายหมดเขาก็ไม่เรียกบัตรเครดิตแล้ว” แนวคิดที่ทำให้ความจนอ้าแขนสวมกอด เพราะการจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ หรือ 10% หรือต่ำกว่า 10% ของวงเงินทั้งหมดเป็นจำนวนที่น้อยเกินไป และเปิดโอกาสให้ดอกเบี้ยทำงาน

โดยเฉพาะคนที่รูดเต็มวงเงิน แถมมีหลายบัตร ยิ่งนานวัน ดอกก็ยิ่งพอกพูนไปตามเวลา ทั้งยอดดอกเบี้ยทั้งหมด และดอกเบี้ยคงค้าง (ดอกเบี้ยเฉลี่ยประมาณ 18-20% ต่อปี) กลายเป็นการผ่อนดอกเบี้ยไม่รู้หมด กลายเป็นหนี้เรื้อรัง ที่พอคำนวณดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย กับราคาสินค้าที่แท้จริง ทำให้ของที่ซื้อด้วยบัตรเครดิตแพงกว่าเกือบเท่าตัวเลยก็มี 

ตรงกันข้ามแนวคิด “รูดเท่าไหร่ จ่ายเท่านั้น” จะทำให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงจากการใช้บัตรเครดิต นั่นคือสิทธิประโยชน์ที่ตามมากับการใช้จ่ายผ่านบัตร โดยไม่เสียดอกเบี้ย เช่น แต้มบัตรเครดิตที่สามารถใช้แลกสิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้ หรือ Cash Back (เครดิตเงินคืน)

สำหรับคนที่เผลอผ่อนเครดิตขั้นต่ำไปแล้ว ทำยังไงได้บ้าง?

1. หยุดใช้บัตรเครดิตนั้นซะ หยุดรูดเพิ่ม แนะนำให้หยุดเดินห้างควบคู่ไปด้วย หยุดส่องของเซลล์ ของออนไลน์ให้ยั่วยวนใจ

2. หากอยากออกจากวังวนทาสบัตรเครดิตไวๆ ให้จ่ายอย่างน้อย 30% ของยอดหนี้ หากรายได้ไม่เพียงพอ ถึงเวลา เช่น หารายได้เสริมควบคู่ไปด้วย เช่น เอาของที่ช้อปมาจนท่วมบ้านมาโพสต์ขาย ท่องไว้ว่าจะเป็นไทแก่ตัวเองให้ได้ เก็บแรงแค้นเอาไว้ด้วยก็ดี จะได้ไม่ทำแบบนี้อีก

157976793226

 

  •  ผ่อนได้ผ่อนเลย : ผ่อนเฉพาะที่จำเป็น(มาก) 

เทคโนโลยที่พัฒนามากขึ้นทำให้สินเชื่อเข้าถึงคนหมู่มากขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อบัตรเครดิต ที่หลายธนาคารหันมาปรับกลยุทธ์เจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มที่มีรายได้ไม่สูง และแข่งขันอัดข้อเสนอ “รูดก่อนผ่อนทีหลัง” สร้างแนวคิดว่า “ใครๆ ก็เป็นเจ้าของสินค้าในฝันได้” 

การเปิดโอกาสให้ผ่อนสินค้าได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำ หรือผ่อนแบบ 0% ช่วยเพิ่มโอกาสเข้าถึงสินค้าและบริการของคนในวงกว้างก็จริง แต่ข้อเสียที่มากับความง่ายในการใช้จ่ายคือการใช้บริการที่ขาดการยั้งคิด และกลายเป็นวังวนหนี้แบบที่ไม่ควรจะเป็น 

หนทางสู่ความจน ไม่ใช่การผ่อนสินค้า แต่เป็นการผ่อนที่ขาดการวางแผน และขาดประเมินศักยภาพของตัวเอง นำไปสู่การผ่อนซ้ำซ้อน ผ่อนในสิ่งที่ไม่จำเป็น ผ่อนจนเกินกำลังทรัพย์ที่จะจ่าย กระทบเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ตลอดจนทำให้กระทบการวางแผนการเงินในระยะยาวที่ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของตัวเองในอนาคตด้วย

การผ่อนไม่ใช่เรื่องผิด แต่หากจะเลือกใช้ตัวช่วยนี้จะต้องมีแนวคิดที่ว่า “ผ่อนเฉพาะที่จำเป็น(มาก)” เท่านั้น เช่น การผ่อนชำระสิ่งที่จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตหรือหน้าที่การงานในระยะยาว อาทิ ที่อยู่อาศัย รถยนต์ (ในกรณีที่มีความจำเป็นและคุ้มค่าการเดินทางกว่าระบบขนส่งสาธารณะ) คอมพิวเตอร์สำหรับทำงาน ฯลฯ

อย่างไรก็ตามการผ่อนชำระในระยะยาว จะต้องพิจารณากำลังทรัพย์ของตัวเองให้ดีก่อนตัดสินใจ โดยหนี้ที่ต้องจ่ายเป็นประจำไม่ควรเกิน 40% ของเงินเดือน วางแผนให้ “พร้อมก่อนผ่อน” เพื่อลดโอกาสผิดพลาดระหว่างผ่อนชำระ มีช้า ดีกว่ามีแล้วพัง 

  •  ออมเงินไปเพื่อ? : ยังไงก็ต้องออม 

“ออมเงินก็คือไม่ได้ใช้เงิน แล้วจะหาเงินไปเพื่ออะไร” แนวคิดที่เปิดประตูสู่ความจน เพราะการคิดแบบนี้เป็นอุปสรรคต่อการเริ่มต้นการวางแผนการเงินตั้งแต่ต้น

การใช้เงินที่ขาดแผนอาจไม่เห็นผลกระทบในช่วงแรก แต่จะเล่นงานในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ต้องใช้เงินก้อนแบบด่วนๆ หรือต้องใช้เงินในบั้นปลายชีวิต

แนวทางที่ควรจะเป็น คือการมองแบบใหม่ที่ว่า “ยังไงก็ต้องออม” การออมจะต้องเป็นส่วนหนึ่งในการจัดสรรรายได้ เช่นเดียวกับการจัดสรรเงินไปจ่ายหนี้ หรือค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอื่นๆ แต่ละคนควรมีเงินออมเผื่อไว้สำหรับกรณีฉุกเฉินอย่างน้อย 6 เท่าของค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน โดยอาจเริ่มต้นเก็บอย่างต่ำ 10% ของเงินเดือนก่อนนำไปใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ 

คำตอบของคำถามที่ว่า แล้วจะออมเงินไปเพื่ออะไร? คือชีวิตที่มีเบาะนุ่มๆ รองรับเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงิน เมื่ออยากลงทุนอะไรบางอย่างก็สามารถทำได้เพราะมีทุนสำรองในเหตุการณ์ฉุกเฉิน ไม่ต้องพะวงกับอนาคตแบบไร้จุดหมาย ที่สำคัญชีวิตเงินทุนจะช่วยเพิ่มต่อยอดความสำเร็จในต่างๆ ได้ทันทีเมื่อโอกาสมาถึง  

ที่มา: ข้อมูลส่วนหนึ่งจาก หนังสือ "25 วิธีคิดให้ชีวิตชิบหาย/25 วิธีคิดให้ชีวิตสบาย" โดย ทีมบรรณาธิการเงินติดล้อ