กอปภ.ก. ประสาน 13 จังหวัดภาคใต้ รับมือน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่าไหลหลาก 24-26 ธ.ค. 63

กอปภ.ก. ประสาน 13 จังหวัดภาคใต้ รับมือน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่าไหลหลาก 24-26 ธ.ค. 63

กอปภ.ก. ประสาน 13 จังหวัดภาคใต้ และประจวบคีรีขันธ์ เตรียมพร้อมรับมือน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง และคลื่นลมแรงในช่วงวันที่ 24-26 ธ.ค. 63

เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 63 กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) แจ้งเตือนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และ 13 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส กระบี่ ตรัง และสตูล เตรียมพร้อมรับมือฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง และคลื่นลมแรง ในช่วงวันที่ 24 - 26
ธันวาคม 2563 โดยจัดเจ้าหน้าที่ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์ภัยอย่างใกล้ชิดพร้อมจัดชุดเคลื่อนที่เร็วเครื่องมืออุปกรณ์ประจำพื้นที่เสี่ยง
ให้พร้อมปฏิบัติการเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยรวมถึงแจ้งเตือนประชาชนติดตามพยากรณ์อากาศ และปฏิบัติตามประกาศเตือนภัย
อย่างเคร่งครัด

นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษมอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะผู้อำนวยการกลาง กล่าวว่า กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) ได้ติดตามสภาพอากาศและพิจารณา ปัจจัยเสี่ยง ประกอบกับกรมอุตุนิยมวิทยาได้มีประกาศฉบับที่ 4 (324/2563) ลงวันที่ 23 ธ.ค. 63 เวลา 17.00 น. แจ้งว่า หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง คาดว่า จะเคลื่อนเข้าปกคลุมบริเวณอ่าวไทยและภาคใต้ในวันที่ 24 ธันวาคม 2563 ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรง ทำให้ภาคใต้มีฝนตกเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักบางพื้นที่ สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรงมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร

กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จึงได้ประสาน 13 จังหวัดภาคใต้ และประจวบคีรีขันธ์ เตรียมพร้อมรับมือน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากน้ำล้นตลิ่ง และคลื่นลมแรง ในช่วงวันที่ 24-26 ธ.ค. 63 ดังนี้

พื้นที่เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง 14 จังหวัด แยกเป็น

ภาคกลาง 1 จังหวัด ได้แก่

1. ประจวบคีรีขันธ์ (อำเภอบางสะพาน อำเภอทับสะแก อำเภอบางสะพานน้อย)

ภาคใต้ 13 จังหวัด ได้แก่

1. ชุมพร (อำเภอเมืองชุมพร อำเภอหลังสวน อำเภอละแม อำเภอพะโต๊ะ อำเภอสวี และอำเภอทุ่งตะโก)

2. สุราษฎร์ธานี (อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี อำเภอกาญจนดิษฐ์ อำเภอดอนสัก อำเภอไชยา อำเภอคีรีรัฐนิคม อำเภอท่าฉาง อำเภอบ้านนาสาร อำเภอบ้านนาเดิม อำเภอเคียนซา อำเภอเวียงสระ อำเภอพระแสง อำเภอพุนพิน อำเภอชัยบุรี และอำเภอวิภาวดี)

3. นครศรีธรรมราช (อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช อำเภอพรหมคีรี อำเภอลานสกา อำเภอฉวาง อำเภอพิปูน อำเภอเชียรใหญ่อำเภอชะอวด อำเภอท่าศาลา อำเภอทุ่งสง อำเภอนาบอน อำเภอทุ่งใหญ่อำเภอปากพนัง อำเภอร่อนพิบูลย์อำเภอสิชล อำเภอขนอม อำเภอหัวไทร อำเภอบางขันอำเภอถ้ำพรรณรา อำเภอจุฬาภรณ์ อำเภอพระพรหม อำเภอนบพิตำ อำเภอช้างกลาง และอำเภอเฉลิมพระเกียรติ)

4. พัทลุง (อำเภอเมืองพัทลุง อำเภอกงหราอำเภอเขาชัยสน อำเภอตะโหมด อำเภอควนขนุน อำเภอปากพะยูนอำเภอศรีบรรพต อำเภอป่าบอน อำเภอบางแก้ว อำเภอป่าพะยอม และอำเภอศรีนครินทร์)

5. สงขลา (อำเภอเมืองสงขลา อำเภอสทิงพระ อำเภอจะนะ อำเภอระโนด อำเภอกระแสสินธุ์ อำเภอรัตภูมิอำเภอสะเดา อำเภอหาดใหญ่ อำเภอนาหม่อม อำเภอควนเนียง อำเภอบางกล่ำ อำเภอสิงหนคร และอำเภอคลองหอยโข่ง)

6. ปัตตานี (อำเภอเมืองปัตตานี อำเภอโคกโพธิ์ อำเภอหนองจิก อำเภอมายอ อำเภอทุ่งยางแดงและอำเภอแม่ลาน)

7. ยะลา (อำเภอเมืองยะลา อำเภอบันนังสตา อำเภอยะหา และอำเภอเบตง)

8. นราธิวาส (อำเภอตากใบ อำเภอบาเจาะ อำเภอระแงะ อำเภอศรีสาคร อำเภอแว้งอำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอสุไหงปาดี อำเภอจะแนะ และอำเภอเจาะไอร้อง)

9. ระนอง (อำเภอเมืองระนอง อำเภอกระบุรี อำเภอกะเปอร์)

10. พังงา (อำเภอเมืองพังงา อำเภอคุระบุรี อำเภอกะปง อำเภอตะกั่วทุ่ง อำเภอตะกั่วป่า และอำเภอท้ายเหมือง)

11. กระบี่ (อำเภอเขาพนม และอำเภอลำทับ)

12. ตรัง (อำเภอเมืองตรัง อำเภอกันตัง อำเภอห้วยยอด อำเภอวังวิเศษ อำเภอนาโยง อำเภอรัษฎา และอำเภอหาดสำราญ)

13. สตูล (อำเภอละงู และอำเภอมะนัง)

พื้นที่เฝ้าระวังสถานการณ์คลื่นลมแรง 6 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี และนราธิวาส รวมถึงสั่งการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตในพื้นที่เสี่ยงภัยเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยในช่วงดังกล่าวโดยจัดเจ้าหน้าที่ติดตามสภาพอากาศ ปริมาณฝน พร้อมวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงและแนวโน้มสถานการณ์ภัยต่อเนื่องตลอด 24ชั่วโมงโดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำ พื้นที่ชุมชนเมือง พื้นที่ริมแม่น้ำลำคลอง ที่ลาดเชิงเขาและพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเล อีกทั้งจัดชุดเผชิญสถานการณ์วิกฤต (ERT)รถปฏิบัติการและเครื่องจักรกลสาธารณภัยให้พร้อมเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทันทีตลอดจนประสานหน่วยงานในพื้นที่ อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสร้างการรับรู้และแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบสถานการณ์ภัยแนวทางการปฏิบัติตน และการอพยพไปยังจุดปลอดภัยผ่านทุกช่องทางรวมถึงเน้นย้ำให้ดูแลและประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะด้านการดำรงชีพในเบื้องต้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน

ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยติดตามพยากรณ์อากาศและสถานการณ์ภัยอย่างใกล้ชิด ปฏิบัติตามประกาศเตือนภัยอย่างเคร่งครัด เพื่อพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยที่อาจเกิดขึ้นสำหรับประชาชนที่ได้รับ ความเดือดร้อนจากสถานการณ์ภัยสามารถติดต่อได้ทางสายด่วนนิรภัย1784 ตลอด 24 ชั่วโมง