เหลียวมองพี่หม่อง จับจ้องอาม่า 

เหลียวมองพี่หม่อง จับจ้องอาม่า 

เมียนมาและจีน สองประเทศที่น่าจับตามองสำหรับไทย เพราะวันนี้แม้ไทยจะไปไกลจากเมียนมา แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราต้องพึ่งพาแรงงานเมียนมาอยู่มาก ขณะที่จีน ในอดีตต้องเผชิญความยากจน แต่ปัจจุบันความเจริญของเมืองมากขึ้น และผู้คนยากจนลดน้อยลง

หมอเตือนว่าโควิดจากพี่หม่อง เป็นคนละสายพันธุ์กับอู่ฮั่น และแพร่เชื้อเร็วด้วย ตรงนี้เราต้องใส่ใจนะครับ

แต่วันนี้เราไม่คุยเรื่องโควิด จะคุยเรื่องเศรษฐกิจ ของพี่หม่องกับอาม่าครับ

สมัยผมเป็นเด็ก เรามีนักกีฬายกน้ำหนักที่มีชื่อเสียง ชัยยะ สุขจินดา ซึ่งถึงฤดูกาลแข่งขันทีไร หนังสือพิมพ์จะพูดถึง ไอ้พลังปลาทู เพราะชัยยะฐานะไม่ดี อาหารที่กิน เพื่อเอาพละกำลังไปยกน้ำหนัก สู้กับคู่แข่งขันจากประเทศอื่น มีเพียงปลาทูเป็นหลัก

สมัยนั้นปลาทู ตัวละ 50 สตางค์ น่าอนาถใจ ที่เราปล่อยให้นักกีฬาระดับชาติคนหนึ่ง ต้องใช้ชีวิตลำบากเช่นนั้น แต่ก็พอเข้าใจแหละครับ เพราะประเทศเรายากจน กระเสือกกระสนพัฒนาเศรษฐกิจกันอยู่

กีฬาที่ได้รับความนิยมมาก ประเภทบุคคลหนีไม่พ้นมวย มีตำนานคือ โผน กิ่งเพชร แชมป์โลกคนแรกของไทย ถ้าเป็น ประเภททีม เป็นอื่นใดไม่ได้เลยครับ ต้องฟุตบอลอยู่แล้ว

ประเทศเพื่อนบ้านที่เป็น คู่แข่งฟุตบอลฝีมือดี ที่เราจับตามากที่สุดก็คือ เมียนมา วันไหนไทยแข่งกับพี่หม่อง วันนั้นฮือฮากันทั้งประเทศ วันไหนพี่ไทยเอาชนะพี่หม่องได้ ฉลองกันทั้งประเทศ

เรียกว่าเป็น เกณฑ์วัด สำหรับเราก็ได้ครับ แต่หลังจากนั้นความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้น รวมทั้งการปิดประเทศ ก็ทำให้เมียนมาเริ่มตามไม่ทันโลก และไม่ทันไทยเราด้วย

หลายทศวรรษผ่านไป ไทยเปิดประเทศและพัฒนาเศรษฐกิจไปไกลกว่าเมียนมา ผลพวงที่ชัดเจนอย่างหนึ่ง ก็คือความกินดีอยู่ดีของประชากร และเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ยังมีผลให้ความสามารถทางกีฬาของไทย ดีขึ้นอีกหลายประเภทด้วย

เอาเถอะ กีฬาบางอย่างคงเป็นกรณีพิเศษ เพราะแม้ประเทศจะยากจน แต่ก็หาคนเอาชนะพวกเขายาก เช่น นักวิ่งมาราธอนจากเคนยา เป็นต้น

อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจเป็น ส่วนเสริม ที่สำคัญ เพราะเมื่อเศรษฐกิจดี สนามกีฬาก็ได้มาตรฐาน อุปกรณ์ฝึกซ้อมทันสมัย นักกีฬาตัวสูงใหญ่ขึ้น สามารถจ้างโค้ชเก่งๆ จากนานาชาติ และใช้วิทยาศาสตร์การกีฬาได้มากขึ้น เป็นต้น

วันนี้ เหลียวมองพี่หม่องยังค่อนข้างเงียบเหงาในกีฬาระดับโลก ส่วนไทยเราก็พอจะเชิดหน้าชูตาได้บ้างในบางประเภท เช่น นักมวย นักยกน้ำหนัก และนักเทควันโด สามารถคว้าเหรียญทอง เงิน และทองแดงโอลิมปิกมาได้บ่อยเหมือนกัน

เมียนมาอาจปรับตัวช้าหรือผิดทิศทางไปบ้าง ทำให้ 50 ปีที่ผ่านไป ประชาชนยากจนมีจำนวนมากพอสมควร ชาวเมียนมาหลายล้านคน ต้องข้ามมาทำมาหากิน บนแผ่นดินไทย

นับตั้งแต่อาชีพแม่บ้าน กรรมกร ช่างก่อสร้าง เด็กเสิร์ฟอาหาร ลูกเรือประมง ฯลฯ และเราก็ต้องพึ่งพาแรงงานจากพวกเขา ถ้าหากเขากลับบ้านเมื่อใด คงเกิดผลกระทบและต้องปรับตัวมากเหมือนกัน

บางคนมองเชิงกรรมเก่าและสาธยายว่า หลายร้อยปีมาแล้ว กองทัพเมียนมาได้เข้ามาเผาบ้านเมืองเรา เผาวัดวาอาราม เผากระทั่งพระพุทธรูป วันนี้ลูกหลานเมียนมาเลยต้องมาชดใช้ ในสิ่งที่บรรพบุรุษได้ก่อไว้...ก็ว่ากันไปครับ

ใครจะเชื่อหรือจะคิดอย่างไรเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ไม่ว่าจะวัดด้วยดัชนีเศรษฐกิจแบบใด ช่วง 50 ปีที่ผ่านมา เราก็ทิ้งพี่หม่องไปไกลทีเดียวในทางเศรษฐกิจ เพียงแต่อย่าประมาท เพราะถ้าเรายังทะเลาะกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้

กระต่ายหยุดเดิน งีบนอนเมื่อใด เต่าก็ตามทัน จำได้ไหม

เราอย่าแค่เหลียวมองพี่หม่อง แต่ต้องจับจ้องอาม่าด้วย เพราะเมื่อ 50 ปีมาแล้ว อาม่า อากง ที่อยู่เมืองไทย ต้องหาโอกาสกลับจีน เพื่อไปเยือนญาติๆ ที่อยู่กับความยากจน แบบไม่มีอะไรจะกินจะใช้

ไปแต่ละครั้งต้องขนเสื้อผ้าเก่าๆ อาหารแห้ง และของใช้ต่างๆ ใส่กล่องไปด้วย เมืองจีนแทบจะไม่มีอะไร เอาอะไรไปฝากญาติๆ ก็ดีใจกันทั้งนั้น ส่วนคนที่ไม่มีโอกาสกลับไปเยือน ก็โอนเงินโพยก๊วนไปให้...ทำกันอย่างนี้

วันนั้นอาม่าอากงที่อยู่บนแผ่นดินใหญ่ ต้องพึ่งพาอาม่าอากงที่อพยพไปอยู่บนแผ่นดินไทย... ว่างั้นเถอะ!

แล้ววันนี้เป็นไงครับ 50 ปีผ่านไป ระยะเวลาเดียวกับที่ไทยไปได้ไกลกว่าเมียนมานั่นแหละ

วันนี้จีนกับไทยก็ต่างกันไกล คนจีนร่ำรวยขึ้น คนจนเริ่มจะหมดไป จีนเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจมีขนาดใหญ่กว่าญี่ปุ่น และอเมริกาก็กังวลต่อพลังเศรษฐกิจของจีนอย่างมาก ฯลฯ

คนจีนอยู่เมืองจีนบอกว่า อยู่ดีๆ ตึกสูงก็โผล่ขึ้นมาโดยไม่ทันสังเกต เผลอเดี๋ยวเดียวรถไฟความเร็วสูงก็แล่นผ่าน ฯลฯ ทุกอย่างพัฒนารวดเร็วมาก

50 ปี ผ่านไป ในช่วงชีวิตของคนๆ เดียวเท่านั้น จีนมาไกลขนาดนี้ ในขณะที่พี่หม่องยังค่อนข้างลำบาก แต่อาม่า อากง สบายขึ้นมาก มีรถไฟความเร็วสูง จะไปไหนก็ไม่ต้องพกเงินสด ใช้คิวอาร์กันทั้งประเทศ ฯลฯ

ไทยเรา แม้จะมาไกลกว่าเมียนมาใน 50 ปี แต่วันนี้ เราล้าหลังจีน บทเรียนนี้บอกเราว่า การบริหารประเทศให้ถูกทิศถูกทางนั้นสำคัญจริงๆ ผู้นำและคณะรัฐบาล รวมทั้งข้าราชการจะต้องดี ตรงนี้ จะว่าไปก็เป็น จุดเปราะของไทย

เพราะเรา “สะดุด” นับครั้งไม่ถ้วน ประท้วงใหญ่นับครั้งไม่ถ้วน ปฏิวัติและเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ก็นับไม่ถ้วน (ถ้าจะนับกันจริงๆ ก็คงพอจะนับครั้งถ้วนเหมือนกันนะครับ... 555)

วันนี้ เราสะดุดอีกแล้ว ผมจึงอยากจะชวนคุณผู้อ่านให้เหลียวมองพี่หม่อง และจับจ้องอาม่า และมองไปข้างหน้าอีก 50 ปีว่า เมื่อถึงวันนั้น ผู้ใหญ่วันนี้ก็ไม่อยู่กันแล้ว คงเหลือเด็กวันนี้นี่แหละที่จะยังอยู่

ฝากให้ดูแลบ้านเมืองกันดีๆ นะครับ อีก 50 ปี ผมก็ไม่มีตัวตนแล้ว หนุ่มสาวที่กำลังเรียกร้องอะไรต่างๆ อยู่ในเวลานี้ เมื่อถึงวันนั้นก็อายุ 70 กว่า และถึงเวลาจะต้องส่งมอบบ้านเมือง ให้คนรุ่นถัดไป อีกรุ่นหนึ่งเหมือนกัน  

ไม่รู้ว่าน้องๆ รุ่นนี้ จะส่งบ้านเมืองนี้ให้แก่คนรุ่นต่อไป ในสภาพเช่นใด

ผมอยากกลับมาดูจังเลย