‘ซินเน็ค’ ชี้ไอทีปลายปีคึกคัก 5จี เพิ่มแรงหนุน

‘ซินเน็ค’ ชี้ไอทีปลายปีคึกคัก 5จี เพิ่มแรงหนุน

เผยไอทีปี 63 มีหลายปัจจัยท้าทาย รายได้รวมทรง แต่กำไรเติบโตต่อเนื่อง ประเมินปี 64 สินค้าเทคโนโลยียังมีโอกาสโต ปักธง 5จี เกมมิ่ง ไอโอที สมาร์ทดีไวซ์ คาดรายได้รวมปีหน้าโตแตะ 15%

นางสาวสุธิดา มงคลสุธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าไอทีชั้นนำ กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจไอทีปี 2563 มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โครงการรัฐเช่น ช้อปดีมีคืนเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยกระตุ้น แม้ภาพรวมสถานการณ์ทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และความท้าทายในการบริหารองค์กรท่ามกลางวิกฤติที่ร้ายแรงในปีนี้ แต่ทว่าสินค้าเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญในการใช้ชีวิต ทำให้ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีแม้ในช่วงที่มีการปิดล็อกน์ดาวน์ (Lockdown)

ซินเน็คพบว่า สินค้าบางรายการกลับมีความต้องการที่สูงขึ้น อาทิ สินค้ากลุ่มอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และโน๊ตบุ๊ค สินค้ากลุ่มแท็บเล็ต เพื่อใช้สำหรับเวิร์ตฟรอมโฮม และกลายเป็นวิถีใหม่ผู้บริโภคสามารถทำงานได้ทุกที่ทุกที่

นอกจากนี้ สินค้ากลุ่มเกมมิ่งเป็นอีกไฮไลท์สำคัญในปีนี้ รับกระแสการเติบโตของอีสปอร์ต ปัจจุบันซินเน็คครองส่วนแบ่งในพอร์ตเกมมิ่งโน๊ตบุ๊ครวมกับเกมมิ่งเกียร์อันดับหนึ่ง สูงสุดในประเทศไทย และพร้อมที่จะขยายตลาดให้ใหญ่ขึ้นในปีหน้า

เธอกล่าวว่า การที่ประเทศไทยเข้าสู่ยุคเทคโนโลยี 5จี ยิ่งเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้บริโภคมีความต้องการเปลี่ยนอุปกรณ์สื่อสาร และเข้ามาเติมเต็มไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิต โดยเฉพาะ เรื่องของไอโอที การเชื่อมต่อระหว่างสมาร์ทดีไวซ์ต่างๆ และ เทคโนโลยีเอไอที่จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน และในภาคธุรกิจมากขึ้น

ด้านซินเน็คเองมั่นใจว่าจะสามารถขยายตลาดได้อย่างต่อเนื่องในปี 2564 รับโอกาสในฐานะดิสทริบิวเตอร์ไอทีอันดับหนึ่งของประเทศ และมองความต้องการสินค้ากลุ่มนี้มีโอกาสเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้

ปัจจุบันซินเน็คมีสัดส่วนรายได้จากโทรศัพท์มือถือแบรนด์ชั้นนำรวมอยู่ที่ประมาณ 40% อีก 40% มาจากตลาดคอนซูเมอร์ ซึ่งรวมทั้งกลุ่มเกมมิ่ง แก็ดเจ็ต และส่วนที่เหลือ 20% จะเป็นตลาดคอมเมอร์เชียล หรือลูกค้าโครงการต่างๆ

บริษัทเน้นเจาะสินค้ากลุ่มที่มีมาร์จิ้นสูง และการบริหารความหลากหลายของสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ มั่นว่าแม้ปีนี้รายได้อาจจะไม่ได้เติบโตจากปีก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้อุปทานของสินค้าบางกลุ่มมีอยู่อย่างจำกัด แต่จะเห็นกำไรของบริษัทเติบโตขึ้นได้อย่างแน่นอนระดับ 18%

สำหรับ ทิศทางธุรกิจปี 2564 มุ่งโฟกัสสินค้ากลุ่มเทคโนโลยี 5จีที่เชื่อมโลกการสื่อสารและการใช้ชีวิตให้สะดวก และรวดเร็ว รวมทั้งกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพที่กำลังเป็นกระแส โดยซินเน็คเตรียมจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์เพื่อสุขภาพที่เป็นไฮเอนด์เทคโนโลยีในเร็วๆ นี้ ตลอดจนภาพรวมการขยายการลงทุนงานโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ รวมถึงการอัพเกรดระบบ และอุปกรณ์เทคโนโลยีของภาคเอกชน สนับสนุนการเติบโตของสินค้ากลุ่มคอมเมอร์เชียล รวมถึงคลาวด์และซิเคียวริตี้ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้มีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูง

ขณะที่ สินค้ากลุ่มเกมมิ่งคาดว่าจะยังเติบโตต่อเนื่อง ด้วยระบบนิเวศน์ของอุตสาหกรรมเกมที่ถูกพัฒนาขึ้น สามารถเล่นเกมร่วมกันจากเครื่องเล่น คอนโซลและพีซี ทำให้การตอบรับของผู้เล่นมีจำนวนเพิ่มขึ้น และมีความต้องการอุปกรณ์เกมมิ่งเกียร์ที่มีความทันสมัย

“ซินเน็คยังคงเดินหน้ารุกตลาดนี้ และคาดจะได้เห็นการจับมือกับพันธมิตรแบรนด์ใหม่ๆ อย่าง นินเทนโด เข้ามาเสริมพอร์ต ควบคู่ไปกับแผนขยายแพลตฟอร์มด้านการบริการทั้งก่อนและหลังการขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจ และยกระดับการดูแล อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า โดยรวมเราพร้อมขยายไปทุกกลุ่มตลาดที่มีโอกาส โปรดักส์ไลน์อัพเพิ่มขึ้นทุกปี ครอบคลุมดิจิทัลไลฟ์สไตล์มากขึ้น”

ล่าสุด เข้ามาดูแลบริการหลังการขายให้เสี่ยวหมี่ ที่มีสมาร์ทโฟนและสินค้าไลฟ์สไตล์หลากหลายประเภท ซึ่งก็จะมีโอกาสขยายความร่วมมืออื่นๆ อีกในอนาคต ภาพรวมของซินเน็คอยู่ในธุรกิจที่อยู่ในเทรนด์การเติบโต และทั้งหมดนี้จะเป็นปัจจัยบวกต่อยอดขายและอัตรากำไรของซินเน็คในปี 2564 โดยตั้งเป้าว่าภาพรวมรายได้จะเติบโตได้ระดับ 10-15% แต่ทั้งนี้ปัจจัยยังขึ้นอยู่กับซัพพลายที่เข้ามาว่าจะเพียงพอหรือไม่ แต่จะกลับเข้ามาช่วงประมาณไตรมาส 2 ปีหน้า

พร้อมระบุว่า ภาพรวมตลาดไอทีประเทศไทยปี 2564 มีแนวขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รับปัจจัยบวกการมาของ 5จี โทรศัพท์ สมาร์ทแก็ดเจ็ทใหม่ๆ สินค้ากลุ่มใหม่ๆ ที่จากเดิมไม่ใช่ไอที รวมถึงอุปกรณ์ไฟฟ้า และอุปกรณ์ต่อเชื่อมต่างๆ สำหรับตลาดองค์กร ประเมินขณะนี้สถานการณ์เศรษฐกิจและกำลังซื้อมีแนวโน้มไม่เติบโต ทว่าเทคโนโลยีเป็นกลุ่มที่มีโอกาสจากการมาของดิจิทัล และหวังว่าจะมีโครงการรัฐเข้ามาช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยปกติที่ได้รับผลกระทบคือตลาดกลางถึงล่าง ส่วนตลาดระดับบนได้รับผลกระทบน้อยมาก