อย่าให้ส่วนลด คนทุจริตโครงการรัฐ

อย่าให้ส่วนลด คนทุจริตโครงการรัฐ

จบไปแล้วสำหรับ "คนละครึ่งเฟส 2" ที่ลงทะเบียนครบ 5 ล้านสิทธิ ภายใน 2 ชั่วโมง นับเป็นมาตรการรัฐที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เช่นเดียวกับ "เราเที่ยวด้วยกัน" ทั้งนี้ที่ผ่านมาทั้งสองมาตรการพบการทุจริตเกิดขึ้น ดังนั้นภาครัฐจึงควรที่จะมีนโยบายลงโทษเด็ดขาดด้วย

ภายหลังรัฐบาล โดยกระทรวงการคลังเปิดให้มีการลงทะเบียนในโครงการ "คนละครึ่ง เฟส 2" เมื่อช่วงเช้าวันที่ 16 ธ.ค.63 ปรากฏว่า ยอดการลงทะเบียนเต็มจำนวน 5 ล้านสิทธิ ตั้งแต่ 2 ชั่วโมงแรก สำหรับผู้ที่ผ่านการตรวจสอบสิทธิสามารถเริ่มใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค.64 แม้การแห่ลงทะเบียนเป็นไปตามคาด เพราะกระแสที่มาแรงทั่วประเทศ แม้ขณะนี้ยังไม่ขยายขอบเขตการใช้สิทธิคนละครึ่ง ไปถึงค่าใช้จ่ายอื่นมากกว่าค่าใช้จ่ายสินค้า อาหารและเครื่องดื่ม เช่น จ่ายค่าโดยสารรถแท็กซี่ แต่ก็ต้องยอมรับว่ารัฐบาลตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในยุคโควิดได้เป็นอย่างดี

วันนี้คนไทยรู้จักและอยากเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง หนึ่งในโครงการที่รัฐบาลออกมากระตุ้นเศรษฐกิจภายใน ทำให้เสียงคัดค้านหรือวิพากษ์วิจารณ์โครงการ ไม่ว่ามอมเมาหรือสิ้นเปลืองงบประมาณ เริ่มเงียบกลายเป็นแรงผลักให้รัฐบาลเดินหน้า และด้วยผลตอบรับในทางบวก เมื่อวานนี้ กระทรวงการคลังโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังระบุว่า อาจจะพิจารณาเพิ่มสิทธิโครงการคนละครึ่งให้กับประชาชนที่ลงทะเบียนในโครงการคนละครึ่งเฟส 2 ส่วนนายกรัฐมนตรีก็ได้ส่งสัญญาณว่าอาจจะมีเฟส 3 เฟส 4 ต่อไป ทั้งนี้อยู่บนเงื่อนไขดูสถานการณ์โควิด และฐานะการเงินการคลัง

นอกจากโครงการคนละครึ่งยังมีโครงการช้อปดีมีคืน เราเที่ยวด้วยกัน เป็นโครงการที่รัฐบาลออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ครอบคลุมทุกกลุ่มประชาชนและกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด โดยเฉพาะโครงการเราเที่ยวด้วยกัน วันนี้เริ่มถูกกล่าวถึงในวงกว้าง มีประเด็นเทียบเคียงกับคนละครึ่ง นั่นคือมีการพบทุจริตทั้งจากฝั่งผู้ประกอบการและประชาชน เป็นที่น่าสังเกตว่าการติดตามคนโกงเจ้าหน้าที่ใช้เวลานานพอสมควร ต้องแกะรอย ติดตามพฤติกรรมและธุรกรรมที่ผิดปกติ

เราสนับสนุนการทำงานที่รัดกุมเพื่อให้ได้หลักฐานที่เพียงพอ ไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น ป้องกันผู้กระทำผิดหลบเลี่ยงการตรวจสอบ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่รวบรวมข้อมูลส่งตำรวจสืบสวนและพิสูจน์หลักฐานธุรกรรมคนละครึ่งที่เข้าข่ายทุจริต 700 คดี ส่วนเราเที่ยวด้วยกัน ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ยื่นหนังสือต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพื่อขอให้ตรวจสอบข้อมูลของ ททท.ที่พบว่ามีโรงแรมที่เข้าข่าย 312 ราย ร้านค้ากับร้านอาหาร 202 ราย

พฤติกรรมการโกงหลายรูปแบบ อาทิ ไม่ได้ซื้อของ อาศัยส่วนต่าง หรือตั้งราคาเกิน หรือไม่พักจริง มีทั้งส่วนตัวและเป็นขบวนการ เราเห็นว่า รัฐบาลต้องมีนโยบายลงโทษเด็ดขาด ทั้งทางแพ่งและอาญา เพื่อไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง สังคมเองก็ต้องเป็นหูเป็นตาไม่ให้เหลือบไรกลุ่มนี้เอาเปรียบคนอื่นในยุคโรคระบาด คนกลุ่มนี้อาจจะไม่รู้ตัวว่า คุณไม่ได้โกงรัฐบาล แต่คุณโกงภาษี โกงคนไทยทั้งประเทศ ดังนั้นไม่ว่าโครงการเราเที่ยวด้วยกัน หรือคนละครึ่ง ต้องลงโทษเต็ม เท่านั้น