โบรกแนะลุยหุ้นบิ๊กแคป 'กิมเอ็ง'เน้นบจ.โตตามศก. -'หยวนต้า'คัดธีมวัคซีน
โบรก คัด 5 หุ้นเด็ด รับปี 64 “เอเซีย พลัส” แนะ หุ้นบิ๊กแคป เป้านักลงทุนต่างชาติ-ในประเทศเข้าซื้อ “กสิกรไทย” เน้น หุ้นกำไรโต อาร์โออีเกิน20% ปันผลสูงมากกว่า4% พี/อี น้อยกว่า20 เท่า ด้าน “เมย์แบงก์ กิมเอ็ง” คัด หุ้นเติบโตตามเศรษฐกิจฟื้น
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจจัดสัมมนา "ส่องหุ้นไทยรับปี 2021 โดยช่วง "เบญจภาคี 5 หุ้นเด็ด" ได้ 4 กูรู ตลาดทุน คัดเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ราคาหุ้นยังปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มาก ขณะที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผลสูง เพื่อให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีในปีหน้า
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ธีมการลงทุนในปีหน้า เน้นหุ้นขนาดใหญ่ เนื่องจาก เมื่อเกิดวิกฤติเกิดขึ้นหุ้นขนาดใหญ่จะมีการฟื้นตัวได้เร็วกว่าหุ้นขนาดเล็ก และจากทิศทางเม็ดเงินต่างประเทศที่จะไหลออกจากตลาดหุ้นสหรัฐจากนโยบายของนายโจไบเดน ที่จะกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าทำให้เงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเกิดใหม่ รวมถึงประเทศไทย ขณะที่เงินในประเทศไทยสูง ซึ่งดูจากเงินฝากในระบบที่มี15.5 ล้านล้านบาท ที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น จากปัจจัยความเสี่ยงการลงทุนที่ลดลง ทำให้นักลงทุนกล้าเข้ามาลงทุน
สำหรับหุ้นแนะนำ คือ 1.ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)หรือ KBANK เนื่องจาก ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาในระดับน่าสนใจ รวมถึง โครงสร้างการให้สินเชื่อของKBANK ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) เมื่อเศรษฐกิจปีหน้ามีการฟื้นตัวก็จะส่งผลดีให้ลูกค้าดังกล่าวฟื้นตัวด้วยเช่นกัน และที่ผ่านมาได้มีการตั้งสำรองหนี้ไว้มากแล้ว โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 126 บาท
2.บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน)หรือ PR9 เพราะ กำไรปี2564 จะฟื้นตัวกลับมา โดยคาดมีกำไรสุทธิ ที่ 289 ล้านบาท จากปีนี้ ที่คาดอยู่ที่ 199 ล้านบาท จากบริษัทได้เน้นขยายฐานลูกค้าเป็นคนไทยมากขึ้น และมีการเติบโตที่เร็ว ทำให้ปัจจุบันมีฐานลูกค้าต่างประเทศเพียง10% และราคาหุ้นยังถูกกว่าโรงพยาบาลอื่นในกลุ่ม ประกอบกับบริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานเพื่อให้สามารถชดเชยกับค่าเสื่อมและอัตราดอกเบี้ยของโรงพยาบาลใหม่ที่สร้างเสร็จเริ่มเปิดดำเนินการปีหน้าได้ รวมถึงปัจจุบันมีฝุ่น PM2.5 โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 11 บาท ,3.บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)หรือ BGRIM เป็นหุ้นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ และมีกำลังการผลิตไฟฟ้า ที่เติบโตต่อเนื่อง โดยคาดกำไรปีหน้าอยู่ที่ 4,700 ล้านบาท จากปีนี้คาดอยู่ที่ 2,600 ล้านบาท โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 58 บาท
4. บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ CRC เพราะ ปีหน้าจะมีการเติบโตที่ดี จากการมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 และที่ผ่านมาบริษัทมีการปรับโครงสร้างธุรกิจเน้นการแพลตฟอร์มขายออนไลน์ และสามารถกลับมาเติบโต ราคาตอนนี้ต่ำกว่าไอพีโอ น่าสนใจ และพัฒนาแพลตฟอร์มการดำเนินธุรกิจ เพื่อรองรับการเติบโตรอบใหม่ โดยคาดว่าปีหน้าจะมีกำไรอยู่ที่ 6,000 ล้านบาท จากปีนี้ ที่มีกำไร 1,293 ล้านบาท โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 38 บาท และ5.บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)หรือ BAM จากการเติบโตในอนาคตที่ดี เพราะปัจจุบันมีสถาบันการเงินจะนำหนี้เสียออกมาประมูลขายจำนวนมาก ทำให้บริษัทมีโอกาสซื้อหนี้เข้ามาบริหาร ทำให้มีผลตอบแทนการลงทุนที่สูง ประกอบกับBAM มีการจ่ายเงินปันผลสูง โดยมีผลตอบแทนเงินปันผล(ดิวิเดนด์ยิลด์) 3% ให้ราคาเหมาะสมที่ 26 บาท
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโสนักกลยุทธ์การลงทุนฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า จากเศรษฐกิจปีหน้าที่จะมีการฟื้นตัว จึงแนะนำนักลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจและมีปันผลที่สูงกว่า4% คือ 1.บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน)หรือ SCC จากธุรกิจปิโตรเคมีมีการเติบโตจากความต้องการใช้ของประเทศจีน หลังเศรษฐกิจมีการเติบโตที่ดี ซึ่งประเทศจีนถือเป็นผู้ใช้ปิโตรเคมีรายใหญ่ของโลก 2. ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)หรือ TMB ซึ่งได้รับผลดีจากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว และ TMB ได้มีการตั้งสำรองไว้สูงแล้ว ทำให้ความเสี่ยงตั้งสำรองเพิ่มน้อย ซึ่งจะส่งดีต่อกำไรปีหน้า ขณะที่ราคาหุ้นยังปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มาก โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 1.4 บาท 3. บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน)หรือ SINGER ให้ราคาเหมาะสมที่ 21 บาท 4.บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)หรือ LH ผลดำเนินงานเติบโตจากความต้องการบ้านซื้อบ้านระดับกลาง-บนยังดีอยู่ ขณะที่ราคาไม่สูง ขณะที่ดิวิเดนด์ยิลด์สูง 8% และ 5. ADVANC ให้ราคาเหมาะสมที่229 บาท
นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บล. กสิกรไทย เปิดเผยว่า กลยุทธ์การลงทุนหุ้นยังมองเป็นธีมการระยะยาว1-2ปี มีโอกาสที่หุ้นไทยยังปรับตัวขึ้นได้ แต่ในระยะสั้นยังต้องระมัดระวัง เนื่องจากปัจจัยแรงขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยมาจากกระแสเงินทุนต่างชาติ ทำให้ราคาหุ้นเกินมูลค่า
ดังนั้นการเข้าลงทุนในช่วงนี้ต้องระมัดระวัง แม้ว่าในต้นปีหน้ามีโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยไปแตะระดับ 1,540-1,600 จุดได้ ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะเติบโตไปถึงแค่ไตรมาส2ปีหน้า แต่ครึ่งปีหลังปีหน้าการเติบโตเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว และตลาดหุ้นโลกฟื้นตัวขึ้นมาตอบสนองข่าวดีไปมากพอสมควรทำให้หลังจากนี้ยังมี “การฟื้นแต่ไม่เท่าเดิม” ประกอบกับขณะที่กระแสฟันด์โฟลว์เข้ารอบนี้แค่ระยะสั้นแต่หลังจากนี้ในระยะยาวไหลเข้าน้อยลงและนักลงทุนต่างชาติพร้อมขายทำกำไร
สำหรับกลุ่มหุ้นแนะนำลงทุนจะเป็นหุ้นที่กำไรปี 2565 จะกลับมาเท่ากับก่อนเกิดโควิด-19 ระบาด, มีผลตอบแทนส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE)อยู่ในระดับสูงมากกว่า 20% , เงินปันผลสูงมากกว่า 4%, มีค่าP/E น้อยกว่า 20 เท่า และราคามีอัพไซด์ คือ 1.ADVANC ให้ราคาเหมาะสมที่ 219.88 บาท , บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน )หรือ RATCH ให้ราคาเหมาะสมที่ 47.50 บาทต่อหุ้น, บริษัท อิออน ธน สินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS ให้ราคาเหมาะสมที่ 159.00บาท , LH ให้ราคาเหมาะสมที่ 9.40 บาท และบริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA ให้ราคาเหมาะสม 44 บาท
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ ประธานสายธุรกิจรายย่อย บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า กลยุทธ์ลงทุนหุ้นในระยะ6เดือนข้างหน้า จะเป็นธีมการลงทุนแบบเทรดดิ้งอีคอนอมี โดยหุ้นไทยควรจะขึ้น จากการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทย สศช. คาดว่าจีดีพีปี64จะฟื้นตัวได้ดี 3.5-4.5% จากคาดว่าต่ำสุดในไตรมาส3 และในปีนี้จีดีพี -6% ขณะที่เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ และกระแสฟันด์โฟลด์ยังคงไหลเข้าต่อเนื่อง ดังนั้น มองว่าหุ้นไทยควรจะฟื้นตัวต่อ
อย่างไรก็ตามยังต้องรอ สศช. ประกาศจีดีพีไตรมาส4 ปีนี้ ในวันที่ 14 ก.พ.2564 ถ้าจีดีพีประกาศออกมายังเป็นบวกต่อ ยังแนะนำควรจะซื้อหุ้นต่อ จากตัวเลขPMIปัจจุบันยังเกิน50 และสถานการณ์การเมืองในประเทศกระทบไม่มาก ถ้ามีการชุมนุม ถ้าหุ้นลง เตรียมเข้าซื้อ ขณะที่เริ่มเห็นการโยกจากสินทรัพย์ มาเข้าหุ้นกลางและเล็กมากขึ้น จากก่อนหน้านี้ หุ้นขนาดใหญ่และหุ้นเทคโนโลยี
สำหรับธีมการลงทุนที่น่าสนใจในช่วงนี้ คือ 1. ธีมกลุ่มเทคโนโลยี ในกลุ่มธุรกิจดาวเทียม ได้แก่ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM มีราคาเป้าหมายที่ 8.60 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะได้ประโยชน์อย่างมากในอนาคต หลังจากครม.อนุมัติกิจการอวกาศและยังมีเงินสดสภาพคล่องอยู่มาก
และ2. ธีมได้ประโยชน์ต่อเนื่องวัคซีน ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR ให้ราคาเหมาะสมที่ 3.08 บาทต่อหุ้น , กลุ่มขนส่งวัคซีน บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ให้ราคาเหมาะสมที่ 43.20 บาท , กลุ่มการค้าปลีก จะได้รับอานิสงส์จากคนจีนกลับมาทำให้มีการจับจ่ายสินค้ามากขึ้น บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ให้ราคาเหมาะสมที่ 80 บาทต่อหุ้น และบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ให้ราคาเหมาะสมที่ 47บาทต่อหุ้น