AOT - ซื้อ

AOT - ซื้อ

จะกลับไปอยู่ระดับก่อน COVID-19 ในปี FY65-66F

Event

ปรับประมาณการจากความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนและ STV

lmpact

แนวโน้มเป็นบวกจากความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนป้องกัน COVID-19 และ STV เมื่อมองไปข้างหน้า เราคิดว่าผลการดำเนินงานโดยรวมของ AOT จะกลับมาแข็งแกร่งตามปกติได้ในปี FY66F ซึ่งเร็วกว่าที่เราคาดไว้ก่อนหน้านี้ หลังจากผลกระทบจาก COVID-19 รุนแรงที่สุดผ่านไปแล้วในเดือนเมษายน ในขณะนี้ เราเห็นพัฒนาการด้านบวก ได้แก่ i) น่าจะมีวัคซีนออกมาจากผู้ผลิตอย่างน้อยสามราย (figure 4) และ ii) รัฐบาลเปิดไฟเขียวให้ออกวีซ่าท่องเที่ยวประเภทพิเศษ (Special Tourist Visa หรือ STV) ให้นักท่องเที่ยวทุกประเทศสามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยต้องมีการกักตัว 14 วัน เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวของไทย ทั้งนี้ เราคิดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติในปี 2564 น่าจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ในขณะที่คาดว่าจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายใน 2H64 นอกจากนี้ AOT ก็น่าจะยกเลิกมาตรการช่วยเหลือทั้งหมดที่ให้กับสายการบินและผู้ประกอบการในพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสนามบินทั้งหกแห่ง ทำให้รายได้ลดลงทั้งจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบิน และไม่เกี่ยวข้องกับการบินจากโรคระบาด

ผลประกอบการปี FY64F จะแย่ที่สุด

เรายังคงมองว่าผลประกอบการของ AOT จะถึงจุดต่ำสุดในปี FY64F โดยเราประเมินว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 1.45 พันล้านบาท (-66.6% YoY) โดยผลประกอบการที่อ่อนแอลง YoY จะเป็นเพราะ i) ฐานกำไรที่สูงในปีนี้ (โดยเฉพาะผลกำไรสุทธิใน 1Q63 ที่สูงถึง 7.34 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะขาดทุนใน 1Q64) ii)
คาดว่าจำนวนผู้โดยสารเที่ยวบินระหว่างประเทศจะฟื้นตัวแข็งแกร่งใน 4Q64 และ iii) รายได้ลดลงจากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบินเนื่องจากมาตรการช่วยเหลือของ AOT

ผลประกอบการน่าจะโตอย่างมีนัยสำคัญได้ตั้งแต่ปี FY65F เป็นต้นไป

ในขณะนี้ เรามีความกังวลน้อยลงเกี่ยวกับกรอบเวลาในการปิดสนามบินของประเทศไทย เนื่องจากมาตรการ STV และโอกาสที่จะมีการนำวัคซีนป้องกัน COVID-19 ออกมาใช้ อีกทั้งยังเปลี่ยนมามองบวกกับแนวโน้มการฟื้นตัวของบริษัทตั้งแต่ปี FY65F เป็นต้นไป ดังนั้น เราจึงปรับเพิ่มสมมติฐานจำนวน
ผู้โดยสารเที่ยวบินระหว่างประเทศ, รายได้ค่าเช่าและเงินประกันขั้นต่ำของพื้นที่เชิงพาณิชย์กลับไปอยู่ระดับก่อน COVID-19 ในช่วงปี FY65-66F (figure 2) ดังนั้น เราจึงคาดว่ากำไรสุทธิของ AOT จะอยู่ที่ 1.23 หมื่นล้านบาท (+752.8% YoY) ในปี FY65F และ 2.93 หมื่นล้านบาท (+137.5% YoY) ในปี FY66F

Valuation & Action

เราเชื่อว่าราคาหุ้นได้สะท้อนผลกระทบจากโรคระบาดไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเมื่ออิงตามประมาณการใหม่เราได้ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น ซื้อ (จากถือ) โดยให้ราคาเป้าหมาย DCF ใหม่ปี FY65 ที่ 79.00 บาท (ใช้ WACC ที่ 9%; TG ที่ 3%) จากเดิมที่ 55.50 บาท

Risks

COVID-19 ระบาด, เศรษฐกิจถดถอย และความไม่สงบทางการเมืองของไทย