ชาติกำลังพัฒนาเอเชียส่งสัญญาณแกร่งศก.ฟื้น

ชาติกำลังพัฒนาเอเชียส่งสัญญาณแกร่งศก.ฟื้น

ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย โดยระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะหดตัวลงแค่ 0.4% ในปี 2563 ซึ่งดีกว่าตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระบุว่าจีดีพีจะหดตัวลง 0.7%

ขณะเดียวกันก็คาดการณ์ว่า จีดีพีปี 2564 ของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียจะขยายตัว 6.8% ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิม

การคาดการณ์นี้อยู่ในรายงาน “Asian Development Outlook (ADO) 2020 Update” ของเอดีบี ที่ถูกนำออกมาเผยแพร่วานนี้ (10ธ.ค.)พร้อมระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้ เอดีบีปรับเพิ่มคาดการณ์ตัวเลขจีดีพีของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียในปีนี้ มาจากความเชื่อมั่นที่ว่า เศรษฐกิจในภูมิภาคแห่งนี้จะฟื้นตัวจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

"ยาซูยูกิ ซาวาดะ" หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเอดีบี กล่าวว่า เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียมีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะในจีนและอินเดียซึ่งเป็นสองประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในภูมิภาคแห่งนี้ โดยเอดีบี ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์จีดีพีจีนในปีนี้เป็นขยายตัว 2.1% จากตัวเลขเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 1.8% และคาดว่าจีดีพีของจีนในปีหน้าจะขยายตัว 7.7% ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิม

ส่วนตัวเลขคาดการณ์จีดีพีอินเดีย เอดีบี ได้ปรับเพิ่มเป็น หดตัวลง 8% ในปีนี้ ซึ่งดีกว่าตัวเลขเดิมที่คาดว่าจะหดตัว 9% ส่วนในปีหน้า คาดว่า จีดีพีอินเดียจะขยายตัว 8% ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิม

อย่างไรก็ดี เอดีบีได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2563 เนื่องจากประเทศกลุ่มนี้ยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะในอินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ โดยคาดว่าจีดีพีของกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะหดตัว 4.4% ในปี 2563 ซึ่งย่ำแย่กว่าตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระบุว่าจะหดตัวเพียง 3.8% และยังได้ปรับลดคาดการณ์จีดีพีในปี 2564 ลงสู่ระดับ ขยายตัว 5.2% ซึ่งน้อยกว่าตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระบุว่าจะขยายตัว 5.5%

นอกจากนี้ เอดีบียังคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อในภูมิภาคเอเชียในปี 2563 จะลดลงแตะระดับ 2.8% จากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 2.9% เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวลดลง

ส่วนสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในภูมิภาคอาเซียนยังคงน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะในเมียนมา ที่มียอดผู้ติดเชื้อโควิดทะลุ 103,000 ราย ตายเกือบ 2,200 ราย โดยกระทรวงสาธารณสุขและการกีฬาของเมียนมา แถลงเมื่อวันพุธ(9ธ.ค.)ว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมามีจำนวน 1,427 ราย ส่งผลให้ขณะนี้เมียนมามีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมอยู่ที่ 103,166 ราย

นอกจากนี้ จำนวนผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 เพิ่มขึ้น 23 ราย สู่ระดับ 2,174 ราย โดยจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเมียนมาพุ่งขึ้นอย่างมาก นับตั้งแต่ที่มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อเป็นครั้งแรกเพียง 2 รายในวันที่ 23 มี.ค.

ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขอินโดนีเซีย เปิดเผยในวันพุธเช่นกันว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมามีจำนวน 6,058 ราย ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 592,900 ราย ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)

ขณะนี้ การติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ลุกลามไปทั้ง 34 จังหวัดของอินโดนีเซีย ส่วนผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่มีจำนวน 171 ราย ส่งผลให้จำนวนผู้เสียชีวิตรวม 18,171 ราย ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุดในอาเซียนเช่นกัน

ด้านกระทรวงสาธารณสุขฟิลิปปินส์ (ดีโอเอช) เปิดเผยในวันพุธว่า ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่เพิ่มอีก 1,387 ราย ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็น 444,164 ราย

รายงานของดีโอเอช ระบุว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาหายแล้ว มีจำนวนเพิ่มขึ้น 156 ราย ส่งผลให้จำนวนรวมผู้ที่ได้รับการรักษาหายแล้ว มีทั้งสิ้น 408,942 ราย ขณะที่ผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มีเพิ่มอีก 7 ราย ส่งผลให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตมีทั้งสิ้น 8,677 ราย

นอกจากนี้ รัฐบาลฟิลิปปินส์ยังเตือนให้ชาวฟิลิปปินส์หลีกเลี่ยงการรวมตัวของผู้คนจำนวนมาก ตลอดจนสวมหน้ากากอนามัย เมื่อออกสู่พื้นที่สาธารณะเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดในช่วงเทศกาลวันหยุด

ด้านพลตำรวจโทซีซาร์ บีนัก ผู้บัญชาการหน่วยปฏิบัติการที่บังคับใช้กฎการกักตัวเพื่อควบคุมโควิด-19 ระบุว่า ตำรวจจะใช้ไม้หวายกับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎ พร้อมทั้งเตือนผู้ฝ่าฝืนกฎให้ปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสุขภาพ หรือมิฉะนั้น จะถูกจับกุมหากยังเพิกเฉยกฎ