5เรื่องต้องรู้'วัคซีนต้านโควิด'การผลิต-แจกจ่ายในเอเชีย

เว็บไซต์นิกเคอินำเสนอรายงานภาพรวมของวัคซีนต้านโรคโควิด-19 โดยระบุถึง5เรื่องที่ต้องรู้ซึ่งจะบอกได้ว่าเมื่อใดที่ภูมิภาคเอเชียจะได้รับวัคซีนตัวนี้ขณะที่อุปสรรคด้านการผลิตและการแจกจ่ายไปตามจุดต่างๆที่ต้องการวัคซีนอาจจะทำให้หลายประเทศต้องรอไปอีกนานหลายเดือนกว่าจะได้ใช้วัคซีนจริงๆ

เมื่อวันอังคาร(8ธ.ค.)อังกฤษ ถือเป็นประเทศตะวันตกประเทศแรกที่เริ่มแจกจ่ายวัคซีนต้านโควิด-19 และเริ่มฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเสี่ยงในประเทศอย่างเป็นทางการผ่านโรงพยาบาล 70 แห่งทั่วประเทศ ขณะที่ไฟเซอร์และไบออนเท็ค ประกาศเมื่อวันที่ 9 พ.ย.ว่าผลการทดลองวัคซีนของบริษัทบ่งชี้ว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคโควิด-19ได้กว่า90% เช่นเดียวกับวัคซีนที่พัฒนาโดยบริษัทโมเดอร์นา ที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน

อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าอาจใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าที่ประชาชนทั่วไปจะได้รับการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่อย่างทั่วถึง และนี่คือ 5เรื่องที่จำเป็นต้องรู้ เพื่อประเมินสถานการณ์ด้านวัคซีนในภูมิภาคเอเชีย

จะมีการอนุมัติให้ใช้วัคซีนเมื่อใด

ขั้นตอนการอนุมัติใช้วัคซีนต้านโควิด-19 ของแต่ละประเทศ เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ที่ผ่านมา บริษัทไซเฟอร์ได้ทำการทดสอบวัคซีนกับอาสาสมัคร 44,000 คนใน6ประเทศแต่มีเพียง5% เท่านั้นมีแบ็คกราวด์เป็นชาวเอเชีย โดยฟาร์มาซูติคัล แอนด์ เมดิคัล ดีไวส์เซส เอเยนซีของญี่ปุ่น(พีเอ็มดีเอ) โต้แย้งว่า ขณะที่หลายประเทศทั่วโลกเผยผลทดสอบการฉีดวัคซีนออกมาแล้วแต่ของญี่ปุ่น จำเป็นต้องมีการทดสอบแยกต่างหากเป็นรายบุคคลเพื่อพิสูจน์ความมีประสิทธิภาพและความปลอดภัย

ไฟเซอร์เริ่มทดสอบวัคซีนกับกลุ่มตัวอย่างกลุ่มเล็กๆในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 20 ต.ค ได้ผลเป็นที่น่าพอใจเช่นเดียวกับการทดสอบกับกลุ่มใหญ่ทั่วโลกและมีความเป็นไปได้มากที่บริษัทเวชภัณฑ์ชั้นนำของสหรัฐแห่งนี้จะได้รับอนุมัติจากทางการญี่ปุ่นให้แจกจ่ายวัคซีนไปยังกลุ่มเป้าหมายได้ ซึ่งตามปกติ การทดสอบวัคซีนนี้จะใช้เวลาเป็นปี แต่พีเอ็มดีเอ ระบุว่ามีการเร่งขั้นตอนต่างๆให้เร็วขึ้นเป็นกรณีฉุกเฉิน เพราะทางการญี่ปุ่น ต้องการฉีดวัคซีนให้ประชาชนทั่วประเทศก่อนทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนที่เริ่มตั้วแต่วันที่ 23 ก.ค.ปีหน้า

ในส่วนของแอสตร้าเซนเนก้า ก็เริ่มทดสอบวัคซีนต้านโควิด-19 ทางคลินิกกับกลุ่มอาสาสมัครขนาดเล็กในญี่ปุ่นเช่นกัน โดยเริ่มทำการทดสอบมาตั้งแต่เดือนส.ค.

ในสิงคโปร์ กระทรวงสาธารณสุขได้ตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญขึ้นมาประเมินประสิทธิภาพและความเหมาะสมของการใช้วัคซีนกับประชากรกลุ่มต่างๆ

“เราต้องพิจารณาหลายตัวแปรด้วยกัน ไม่ใช่แค่ความเหมาะสม ความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนอย่างเดียวเท่านั้น คณะกรรมการซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญจำเป็นต้องศึกษาอย่างละเอียดเกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีน รวมถึงข้อมูลด้านคลินิกในช่วงที่เริ่มมีการแจกจ่ายวัคซีนให้ถึงมือกลุ่มเป้าหมายแล้ว เพื่อให้เราประเมินและแนะนำการใช้วัคซีนอย่างเหมาะสม”เบนจามิน อ่อง ที่ปรึกษาระดับอาวุโสแผนกการบริการทางการแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ กล่าว

ใครจัดหาวัคซีนต้านโควิด-19

ข้อมูลจากแอร์ฟินิตี้ ระบุว่า ประเทศในเอเชียหลายประเทศได้ลงนามข้อตกลงกับบรรดาผู้ผลิตวัคซีนให้ทำหน้าที่จัดหาวัคซีนให้ เริ่มจากอินเดีย ที่ลงนามสั่งซื้อวัคซีนในปริมาณ 600 ล้านโดส ส่วนใหญ่สั่งซื้อจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ขณะที่จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ และไทยล้วนลงนามข้อตกลงซื้อวัคซีนปริมาณหลายล้านโดสจากบริษัทผลิตวัคซีนยุโรป ส่วนมาเลเซีย เพิ่งลงนามซื้อวัคซีนเมื่อไม่นานมานี้จากไฟเซอร์

ไต้หวัน ได้หารือโดยตรงกับบริษัทยาแห่งหนึ่งเพื่อซื้อวัคซีน 10 ล้านโดสพร้อมทั้งวางเงินมัดจำให้ส่วนหนึ่งเพื่อยืนยันว่าซื้อแน่ๆ และตั้งเป้าว่าจะฉีดวัคซีนให้ประชาชนเร็วที่สุดช่วงไตรมาสสองของปี 2564 นอกจากนี้ ไต้หวันยังสั่งซื้อวัคซีนอีกกว่า 4 ล้านโดสผ่านโครงการโคแว็กซ์ ที่องค์การอนามัยโลกเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดซื้อและแจกจ่าย ซึ่งวัคซีนในปริมาณรวมทั้งสิ้นเกือบ 15 ล้านโดสนี้ เป็นการแจกจ่ายให้แก่ประชาชนคนละ2 โดส

โรงพยาบาลพร้อมแค่ไหน

วัคซีนของไฟเซอร์ต้องได้รับการจัดเก็บในที่เก็บที่มีอุณหภูมิลบ70 องศาเซลเซียส โดยโรงพยาบาลขนาดใหญ่จะมีตู้แช่เก็บรักษาวัคซีนที่อุณหภูมิติดลบ70 องศาเซลเซียส แต่โรงพยาบาลขนาดเล็กและคลินิกไม่มีตู้แช่แบบนั้น

ระบบซัพพลายเชนท้องถิ่นพร้อมแค่ไหน

บริษัทยา ทั้งค้าปลีก ค้าส่ง และธุรกิจโลจิสติกส์เร่งปรับตัวให้พร้อมรับมือการมาถึงของวัคซีนต้านโควิด-19 แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีใครมั่นใจว่าระบบห่วงโซ่อุปทานวัคซีนจะไม่มีปัญหา ด้วยเหตุนี้ แอสตร้าเซนเนก้าจึงผลิตวัคซีนในญี่ปุ่นเพื่อจัดส่งวัคซีนให้ชาวญี่ปุ่น รวมทั้งผลิตในต่างประเทศให้แก่ลูกค้าในต่างประเทศ

บทบาทของจีนในการแจกจ่ายวัคซีน

จีน ซึ่งคาดว่าจะอนุมัติให้มีการผลิตวัคซีนปริมาณมากภายในปลายเดือนธ.ค.นี้ ให้คำมั่นว่าจะแจกจ่ายวัคซีนแก่ประเทศเพื่อนบ้านภายใต้แผน“การทูตวัคซีน”ซึ่งกัมพูชาเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้มากที่่สุด จากเดิมที่กัมพูชาจะได้รับวัคซีนต้านโควิด-19ผ่านโครงการโคแว็กซ์ของยูเอ็นอยู่แล้ว

ส่วนในมาเลเซีย บริษัทมาเลเซียกำลังทำงานกับบริษัทจีนเพื่อจัดหาวัคซีนต้านโควิด โดยบริษัทเอ็มวายอีจี เซอร์วิสเซส บริษัทอีคอมเมิร์ซท้องถิ่นได้ลงนามข้อตกลงกับบริษัทอันฮุยจี้เฟย ลองคอม ไบโอฟาร์มาซูติคัล มีฐานดำเนินงานในเสิ่นเจิ้น ทำการทดลองวัคซีนเฟสที่3

ภายใต้ข้อตกลงที่ทำร่วมกันครั้งนี้ เอ็มวายอีจี จะเป็นผู้แจกจ่ายวัคซีนต้านโควิด-19แต่เพียงผู้เดียว และจะกำกับดูแลสถานะฮาลาลให้กับวัคซีนชนิดนี้ให้ชาวมุสลิมสามารถใช้ได้ทุกคน