‘ดาวโจนส์’บวกเหตุได้แรงหนุนจากคืบหน้าผลิตวัคซีน

‘ดาวโจนส์’บวกเหตุได้แรงหนุนจากคืบหน้าผลิตวัคซีน

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดวันพุธ(2 ธ.ค)ปรับตัวเพิ่มขึ้นในกรอบแคบ เพราะได้แรงหนุนจากข่าวความคืบหน้าในแง่บวกของวัคซีนโควิด-19 และความเป็นไปได้ที่สภาคองเกรสจะบรรลุข้อตกลงแพ็คเกจเยียวยาผลกระทบไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รอบใหม่

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 59.87 จุดหรือ0.20%ปิดที่ 29,883.79 จุดดัชนีเอสแอนด์พี500เพิ่มขึ้น 6.56 จุดหรือ0.18%ปิดที่ 3,669.01 จุดและดัชนีแนสแด็กลดลง 5.74 จุดหรือ0.05%ปิดที่ 12,349.37 จุด

ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นเกือบ 200 จุดเมื่อวานนี้ ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 และดัชนีแนสแด็กทะยานแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขานรับรายงานที่ว่านายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ และนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ จะหารือกันเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินกว่า 9 แสนล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 รวมทั้งข้อมูลภาคการผลิตของจีนที่แข็งแกร่งเกินคาด

อย่างไรก็ดี นายมิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา กล่าวคัดค้านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐวงเงิน 9.08 แสนล้านดอลลาร์ ตามข้อเสนอของพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน

“เราไม่ควรเสียเวลาอีกต่อไป” นายแมคคอนเนลล์กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว

นายแมคคอนเนลล์ กล่าวว่า เขาต้องการให้มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินราว 5 แสนล้านดอลลาร์ที่มีการระบุความช่วยเหลือต่อภาคอุตสาหกรรมอย่างเฉพาะเจาะจงในการเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

นอกจากนี้ นายแมคคอนเนลล์ ยังกล่าวว่า สภาคองเกรสควรพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และร่างกฎหมายงบประมาณหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานรัฐบาล (ชัตดาวน์) ในคราวเดียวกัน

ทั้งนี้ สภาคองเกรสจำเป็นจะต้องอนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณดังกล่าวภายในวันที่ 11 ธ.ค.เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะชัตดาวน์

ที่ผ่านมา นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาเมื่อวานนี้ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นทั้งในสหรัฐและทั่วโลก จะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงหลายเดือนข้างหน้า และส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจเผชิญกับความไม่แน่นอนอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน

ด้านออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (เอดีพี) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 307,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 475,000 ตำแหน่ง