'ขึ้นบัญชีดำ-คว่ำบาตร'ย้ำสัมพันธ์ร้าวลึกสหรัฐ-จีน

'ขึ้นบัญชีดำ-คว่ำบาตร'ย้ำสัมพันธ์ร้าวลึกสหรัฐ-จีน

'ขึ้นบัญชีดำ-คว่ำบาตร'ย้ำสัมพันธ์ร้าวลึกสหรัฐ-จีน โดยทั้ง2ฝ่ายตอบโต้กันและกันบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ และนักวิเคราะห์มีความเห็นว่า จะทำให้รัฐบาลชุดใหม่ของโจ ไบเดน ทำงานยากลำบากมากขึ้น

แม้จะผ่านพ้นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 3 พ.ย.มาแล้ว และสหรัฐได้ผู้นำคนใหม่คือ“โจ ไบเดน” จากพรรคเดโมแครต ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จากพรรครีพับลิกันเตรียมนับถอยหลังพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศไปเรื่อยๆแต่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนไม่ได้ดีขึ้นเลย ในทางตรงกันข้าม กลับร้าวรานยิ่งขึ้น และทั้ง2ฝ่ายตอบโต้กันด้วยการใช้วิธีประกาศขึ้นบัญชีดำ และการคว่ำบาตรบริษัท หน่วยงาน ตลอดจนบุคลากรที่มีชื่อเสียงของอีกฝ่าย

ล่าสุด คณะทำงานของประธานาธิบดีทรัมป์ เตรียมเพิ่มบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง อินเตอร์เนชันแนล คอร์ปอเรชัน (เอสเอ็มไอซี) และไชนา เนชันแนล ออฟชอร์ ออยล์ คอร์ปอเรชัน (ซีนุค) รวมไว้ในรายชื่อบัญชีดำ ด้วยข้อกล่าวหาที่ว่าเป็นบริษัทของกองทัพจีน

ซีนุค เป็นบริษัทพลังงานชั้นนำของจีนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมต้นน้ำและพัฒนาไปสู่บริษัทที่มีการผลิตครบวงจร จนปัจจุบัน ซีนุคมี 6 ภาคธุรกิจที่ต้องดูแล ตั้งแต่การสำรวจ พัฒนาก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน การบริการด้านเทคนิค ด้านโลจิสติกส์ เคมี ปุ๋ยเคมีและการเงิน โดยธุรกิจทั้งหมดมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่วนเอสเอ็มไอซี เป็นบริษัทผลิตชิพขนาด 14 นาโนเมตรชื่อดังของจีนที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วเช่นกัน

เว็บไซต์สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวด้วยว่า กระทรวงกลาโหมสหรัฐ จะเพิ่มบริษัทจีนอีก 4 แห่งในรายชื่อบริษัทที่ถูกควบคุมหรือเป็นเจ้าของโดยกองทัพจีน นอกเหนือไปจาก เอสเอ็มไอซีและซีนุกแล้ว ยังมีบริษัทไชนา คอนสตรัคชัน อินเตอร์เนชันแนล เทคโนโลยี และไชนา อินเตอร์เนชันแนล เอ็นจิเนียริง คอนซัลติง ทำให้จำนวนรวมบริษัทที่ได้รับผลกระทบอยู่ที่ 35 แห่ง

บริษัทที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีดำของสหรัฐ จะถูกระงับการเข้าถึงนักลงทุนสหรัฐ แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีการประกาศรายชื่อบริษัทใหม่เพิ่มอย่างเป็นทางการเมื่อใดซึ่งความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐจะเข้ารับตำแหน่ง โดยก่อนหน้านี้ไม่นาน ปธน.ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งห้ามไม่ให้ชาวอเมริกันลงทุนในบริษัทจีนที่ถูกครอบครองและควบคุมโดยกองทัพจีนมาแล้ว

การเพิ่มรายชื่อบริษัทชั้นนำจีนไว้ในบัญชีดำครั้งนี้ ถูกมองว่าเป็นการทิ้งทวนก่อนลงจากตำแหน่งของทรัมป์ที่ดำเนินนโยบายแข็งกร้าวกับจีน และสร้างความยากลำบากในการดำเนินสัมพันธ์ทวิภาคีกับจีนในอนาคตของรัฐบาลชุดใหม่ ภายใต้การบริหารของไบเดน ซึ่งหลังจากมีการเผยแพร่เรื่องนี้ออกมา ทีมงานของไบเดนก็ปฏิเสธที่จะให้ความเห็น

หลังจากสหรัฐเตรียมขึ้นบัญชีดำบริษัทจีนเพิ่มได้วันเดียว รัฐบาลปักกิ่งก็ขึ้นบัญชีดำเจ้าหน้าที่ระดับสูง 4 คน จากองค์กรอิสระด้านประชาธิปไตยสหรัฐ รวมถึงเอ็นอีดี โดยให้เหตุผลว่ามีพฤติกรรมก้าวก่ายกิจการของฮ่องกงซึ่งเป็นเรื่องภายในของจีน

“หัว ชุนหยิง” โฆษกหญิงกระทรวงการต่างประเทศของจีน บอกว่าการขึ้นบัญชีดำพลเมืองสหรัฐ 4 คน ฐานแทรกแซงกิจการภายในของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ที่เป็นส่วนหนึ่งของจีนแผ่นดินใหญ่ มีผลบังคับใช้ในทันที หมายความว่าบุคคลกลุ่มนี้จะไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศจีน ฮ่องกง และมาเก๊าได้อีกเลยจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง

บุคคลทั้งสี่ตามรายชื่อประกอบด้วย “จอห์น เคราส์” ผู้อำนวยการอาวุโสของกองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย ( เอ็นอีดี ) และเจ้าหน้าที่อีก 3 คน ของสถาบันส่งเสริมประชาธิปไตย ( เอ็นดีไอ ) คือ “มานปรีต อนันด์” ผู้อำนวยการส่วนภูมิภาค “เคลวิน ซิต” ผู้อำนวยการโครงการฮ่องกง และ“คริสตัล โรซาริโอ” ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ

ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลปักกิ่งครั้งนี้ เกิดขึ้นประมาณ 3 สัปดาห์ หลังสหรัฐประกาศคว่ำบาตรรองผู้อำนวยการของสำนักงานกิจการฮ่องกงและมาเก๊า ( เอชเคเอ็มเอโอ ) รองผู้บังคับการตำรวจฮ่องกง และเจ้าหน้าที่อีก 2 คนในสำนักงานด้านความมั่นคงแห่งชาติประจำฮ่องกง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จีนตั้งขึ้นใหม่เพื่อสังเกตการณ์การบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ ที่มีผลเฉพาะกับฮ่องกง ตั้งแต่คืนวันที่ 30 มิ.ย.

เมื่อวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนประกาศคว่ำบาตรพลเมืองสหรัฐ 11 คน รวมถึงนักการเมืองจากพรรครีพับลิกันของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อตอบโต้ที่สหรัฐคว่ำบาตรผู้บริหารสูงสุดฮ่องกง และเจ้าหน้าที่จีนโทษฐานลิดรอนเสรีภาพทางการเมือง

บุคคลที่รัฐบาลจีนพุ่งเป้าเล่นงานครั้งนี้ประกอบด้วยวุฒิสมาชิกรีพับลิกัน 5 คน คือเท็ด ครูซ, มาร์โก รูบิโอ, ทอม คอตตอน, โจช ฮอว์ลีย์ และ แพท ทูมีย์ ส่วนที่เหลือ คือส.ส. คริส สมิธ และเจ้าหน้าที่จากองค์กรไม่แสวงผลกำไรและกลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างๆ ในสหรัฐ