‘ดาวโจนส์’บวก 185 จุด-นลท.มีความหวังศก.ฟื้น

‘ดาวโจนส์’บวก 185 จุด-นลท.มีความหวังศก.ฟื้น

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดวันอังคาร (1ธ.ค.)ซึ่งเป็นวันแรกในเดือนธ.ค. ปรับตัวขึ้น 185 จุด เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่าวัคซีนโควิด-19 จะมีใช้งานเร็วๆนี้ และมีความเชื่อมั่นมากขึ้นต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว หลังข้อมูลภาคโรงงานของจีนส่งสัญญาณที่สดใส

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 185.28 จุด หรือ 0.63 % ปิดที่ 29,823.92 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 40.82 จุด หรือ 1.13% ปิดที่ 3,662.45 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 156.37 จุด หรือ 1.28% ปิดที่ 12,355.11 จุด

เมื่อพิจารณาตลอดเดือนพ.ย.พบว่า ดัชนีดาวโจนส์ทำสถิติพุ่งขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบรายเดือนนับตั้งแต่ปี 2530 นอกจากนี้ เดือนพ.ย.ยังเป็นเดือนที่ดัชนีดาวโจนส์ทำสถิติทะยานขึ้นเหนือระดับ 30,000 จุดเป็นครั้งแรก

ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทได้รับแรงหนุนจากความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 รวมทั้งความชัดเจนของทิศทางการเมืองในสหรัฐ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เริ่มกระบวนการถ่ายโอนอำนาจให้แก่นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ

ไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยาใหญ่ที่สุดของสหรัฐ และไบออนเท็ค ซึ่งเป็นบริษัทยาของเยอรมนี แถลงว่า ทางบริษัทได้ยื่นเรื่องต่อสำนักงานยาแห่งยุโรป (อีเอ็มเอ) ในวันนี้ เพื่อขออนุมัติการจำหน่ายวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ของทางบริษัทเป็นกรณีฉุกเฉิน หากอีเอ็มเออนุมัติ จะส่งผลให้ไฟเซอร์สามารถใช้วัคซีนดังกล่าวในยุโรปก่อนปลายปีนี้

ทั้งนี้ อีเอ็มเอจะพิจารณาให้การอนุมัติเป็นกรณีฉุกเฉิน (ซีเอ็มเอ) แก่ยาหรือวัคซีนสำหรับผู้ป่วยที่ยังไม่มีการค้นพบยารักษามาก่อน โดยซีเอ็มเอจะมีการผ่อนปรนด้านข้อมูลการทดสอบเมื่อเทียบกับกระบวนการอนุมัติทั่วไป

อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากบริษัทยาจะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่ายาหรือวัคซีนดังกล่าวมีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และบริษัทจะต้องพร้อมให้ข้อมูลการทดสอบทางคลินิกอย่างครบถ้วนในอนาคต

นอกจากนี้ นักลงทุนจับตานายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ซึ่งจะเข้าทำการชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันนี้เกี่ยวกับการดำเนินการของเฟดและรัฐบาลสหรัฐในการเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

เว็บไซต์ของเฟดได้เผยแพร่ร่างแถลงการณ์ของนายพาวเวลซึ่งเตรียมไว้สำหรับการชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันนี้ โดยระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นทั้งในสหรัฐและทั่วโลก จะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงหลายเดือนข้างหน้า

“เมื่อพูดถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั้น เรามองว่า แนวโน้มเศรษฐกิจกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน และแนวโน้มเศรษฐกิจส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการจัดการกับการแพร่ระบาด”

“จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นทั้งในสหรัฐและต่างประเทศนั้น ถือเป็นสิ่งที่น่ากังวล และอาจเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ โดยการฟื้นตัวอย่างเต็มรูปแบบของเศรษฐกิจยังไม่มีแนวโน้มเกิดขึ้น จนกว่าประชาชนจะมีความมั่นใจในการเข้าร่วมกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง” นายพาวเวลกล่าว

นายพาวเวลยังกล่าวด้วยว่า “แม้มีข่าวเชิงบวกเกี่ยวกับวัคซีนต้านโควิด-19 ในระยะกลางนี้ แต่ก็ยังมีความท้าทายและความไม่แน่นอนอย่างมีนัยสำคัญในขณะนี้ ซึ่งรวมถึงระยะเวลา การผลิต และการจำหน่ายจ่ายแจก นอกจากนี้ ประสิทธิภาพของวัคซีนของแต่ละบริษัทก็ยังแตกต่างกันด้วย”

นอกจากนี้ นายพาวเวลยังกล่าวถึงความสำคัญของโครงการเงินกู้เพื่อเยียวยาผลกระทบของโควิด-19 ซึ่งโครงการดังกล่าวจะหมดอายุในวันที่ 31 ธ.ค.นี้

“โครงการเหล่านี้มีความสำคัญในฐานะเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนตลาดสินเชื่อ และยังช่วยฟื้นฟูการไหลเวียนของสินเชื่อจากบรรดาผู้ปล่อยกู้เอกชนผ่านช่องทางปกติ” นายพาวเวลกล่าว

อย่างไรก็ดี นายมนูชินได้กล่าวก่อนหน้านี้ว่า จะไม่มีการต่ออายุโครงการเงินกู้ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธ.ค.นี้ แม้เจ้าหน้าที่เฟดได้เรียกร้องให้มีการขยายโครงการปล่อยกู้ดังกล่าวก็ตาม