ปตท.เร่งจ้างงานกระตุ้นเศรษฐกิจ ชงบอร์ด ธ.ค.เคาะงบลงทุนปี 64

ปตท.เร่งจ้างงานกระตุ้นเศรษฐกิจ ชงบอร์ด ธ.ค.เคาะงบลงทุนปี 64

ปตท.เร่งแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงาน 2.5 หมื่นตำแหน่ง จูงใจพนักงานเที่ยว อัดลงทุน ชงบอร์ด ธ.ค.นี้ เคาะงบปีหน้า “สุพัฒนพงษ์” มั่นใจเศรษฐกิจฟื้น ลุยต่อยอดคนละครึ่ง พัฒนาแพลตฟอร์มค้าออนไลน์

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวในงาน Intania Dinner Talk 2020 หัวข้อ “เดินหน้าฝ่าวิกฤติ พลิกเศรษฐกิจไทย” จัดโดยสมาคมนิสิตเก่าวิศวกรรมศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า ปตท.ประเมินเศรษฐกิจในปี 2564 มีแนวโน้มที่จะดีกว่าปี 2563 แต่เศรษฐกิจจะขยายตัวเท่าปี 2562 หรือไม่ต้องรอการประเมินอีกครั้ง เพราะยังมีอีกปัจจัยที่ไม่แน่นอน เช่น การพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-49 ว่าจะออกมาเมื่อไหร่ 

สำหรับการมีส่วนร่วมในการกระตุ้นเศรษฐกิจของกลุ่ม ปตท.ได้ดำเนินการกระตุ้นผ่านการจ้างงาน โดยจะมีการรับพนักงานตามอัตราปกติ รวมทั้งจะรับนักศึกษาจบใหม่เข้ามาทำงานเป็นเวลา 1 ปี เพื่อร่วมทำงานในส่วน Corporate Social Responsibility (CSR) และการจัดเก็บข้อมูลเพื่อรองรับการทำงานของกลุ่ม ปตท. ซึ่งรวมแล้วจะมีการจ้างงานไม่น้อยกว่า 25,000 คน รวมทั้งจะมีการกระตุ้นส่งเสริมให้พนักงานใช้วันหยุดพักร้อนเพื่อไปท่องเที่ยว

นอกจากนี้ กลุ่ม ปตท.จะเร่งรัดการลงทุนโครงการต่างๆ ให้เป็นไปตามแผนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยงบลงทุนประจำปี 2564 จะเสนอคณะกรรมการ ปตท.ในเดือน ธ.ค.นี้ ซึ่งวงเงินการลงทุนรวมจะไม่ต่ำกว่าปี 2563 ซึ่งมั่นใจว่าการเร่งลงทุนดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปีหน้าได้

นายอรรถพล กล่าวว่า ส่วนราคาน้ำมันในปี 2564 ประเมินว่าน่าจะมีเสถียรภาพมากกว่าปี 2563 ที่ราคามีการปรับขึ้นลงรุนแรง หลังจากในช่วงต้นปีนี้ ราคาดิบอยู่ที่ 60 ดอลลาร์ ต่อ บาร์เรล ในขณะที่ช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 20 ดอลลาร์ เศษ ต่อบาร์เรล และในช่วงปลายปีนี้ราคาน้ำมันมันดิบได้ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 40 ดอลลาร์ ต่อบาร์เรล

รวมทั้งในปี 2564 คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะอยู่ที่ระดับ 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และจะมีเสถียรภาพ ซึ่งกลุ่มโอเปคจะมีการประชุมในช่วงปลายสัปดาห์นี้ เพื่อควบคุมปริมาณการผลิตน้ำมันให้ราคามีเสถียรภาพ และในปีหน้าประเมินว่าจะไม่มีปัญหาเศรษฐกิจโลกที่รุนแรงแบบปีนี้

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปี 2563 จะดีขึ้นเป็นลำดับและติดลบไม่เกิน 6% จากเดิมที่คาดว่าจะติดลบ 9-10% และมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นกลับมาปกติภายใน 12-18 เดือน เพราะเศรษฐกิจจะโตเท่าที่ระดับศักยภาพของประเทศที่ 3-4% 

ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลใช้งบประมาณในการประคองและฟื้นฟูเศรษฐกิจไปแล้ว 8 แสน ถึง 1 ล้านล้านบาท 

ซึ่งรวมถึงมาตรการพักชำระหนี้ 12.5 ล้านราย คิดเป็นวงเงิน 1.8 ล้านล้านบาท จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการได้ โดยครึ่งหนึ่งเป็นการประคับประคองเศรษฐกิจ

ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นการเพิ่มสภาพคล่องช่วยเหลือภาคเศรษฐกิจ แม้จะใช้งบไปจำนวนมากแล้วแต่ถือว่าสถานะการเงินของประเทศอยู่ในระดับที่เข้มแข็ง และการจัดอันดับของสถาบันระดับโลกอยู่ในเกณฑ์ดี เช่น เอสแอนด์พี มีมุมมองเสถียรภาพเศรษฐกิจและมุมมองต่อเศรษฐกิจไทยในอนาคตอยู่ที่ BBB+ 

รวมทั้งในปี 2564 รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพราะหากพึ่งพาการท่องเที่ยวอยู่มากคิดเป็น 10% ของจีดีพี สร้างรายได้ 2 ล้านล้านบาท แต่ต้องใช้นักท่องเที่ยวถึง 40 ล้านคน ทำให้เกิดความไม่สมดุล ดังนั้น สิ่งที่ต้องการเปลี่ยน คือ ให้ได้นักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและใช้จ่ายมากขึ้น 

นอกจากนี้ สิ่งที่จะปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจได้เร็ว คือ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งนอกจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแล้วต้องพัฒนาบุคลากร รวมทั้งพัฒนาทักษะแรงงานให้กับประเทศ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็งได้ในระยะยาว

“รัฐบาลให้ความสำคัญกับการจ้างงานผู้จบใหม่ที่ตั้งเป้าหมายไว้ 1 ล้านตำแหน่ง ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทเอกชนโดยเฉพาะบริษัทในกลุ่ม ปตท.ได้เริ่มมีการจ้างงานแล้วเป็นจำนวนมาก”นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว 

รวมทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลได้หารือกับธนาคารกรุงไทยแล้วว่าจะให้ต่อยอดจากโครงการคนละครึ่งไปสู่แพลตฟอร์มการค้าขายออนไลน์ โดยจะมีลักษณะของแพลตฟอร์มคล้ายกับลาซาด้า แต่มีขนาดที่เล็กกว่า และให้ผู้ประกอบการในประเทศเข้ามาร่วมได้มากที่สุด เพื่อเป็นการต่อยอดการให้ผู้ประกอบการรายย่อยทำการค้าขายได้มากขึ้น