RATCH - ซื้อ

RATCH - ซื้อ

ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน

Event

ประชุมนักวิเคราะห์

lmpact

ตั้งเป้าจะเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (RE) เป็ น 25% ของกำลังการผลิตทั้งหมดจากปัจจุบันที่ 14.4%

ผู้บริหารตั้งเป้าจะเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเป็น 25% ของกำลังการผลิตจากปัจจุบันที่ 14.4% ภายในปี 2568 ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกสำหรับเกณฑ์ ESG โดยในปัจจุบัน กำลังการผลิตติดตั้งของโรงไฟฟ้าถ่านหินคิดเป็น 10.9% ของกำลังการผลิตรวม ซึ่งหากบริษัทสามารถเพิ่มสัดส่วน RE ได้ตามเป้า (ภายใต้สมมติฐานว่าโครงการต่าง ๆ ที่อยู่ใน pipeline ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป) ก็จะทำให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มอีก 2GW และสัดส่วนกำลังการผลิตติดตั้งของโรงไฟฟ้าถ่านหินจะลดลงเหลือ 8.7% อย่างไรก็ตาม 47% ของกำไรจากธุรกิจหลักในงวด 9M63 ยังคงมาจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน (หงสา)

Equivalent Availability Factor (EAF) ของโรงไฟฟ้าหงสาในปี 2564 จะเพิ่มขึ้นเป็น 85.6% จาก 80%ในปี 2563F

EAF ของโรงไฟฟ้าหงสาน่าจะอยู่ที่ 80% ในปี 2563 และผู้บริหารตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 85.6% ในปีหน้า (เราใช้สมมติฐานที่ 81%) ซึ่งถ้าหากบริษัทสามารถเพิ่ม EAF ได้ตามเป้าก็จะทำให้ประมาณการกำไรของเรามี upside อีก 4.0% ทั้งนี้ บริษัทมีกำหนดจะปิดซ่อมบำรุง unit2 รอบใหญ่ในปี 2564

หุ้นกู้ Green debenture (8 พันล้านบาท) จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยได้ปีละ 99 ล้านบาท

RATCH ออกหุ้นกู้ green debenture (8 พันล้านบาท) ในเดือนพฤศจิกายน 2563 โดยจะนำเม็ดเงินที่ระดมได้ไปใช้ i) ในโครงการพลังงานหมุนเวียน 6.7 พันล้านบาท (Yandin wind farm, Collector wind farm,Thanh Phong farm) โดยจะนำเงินทุนมา refinance หนี้ในโครงการเดิม และใช้เป็นเงินทุนสำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และ ii) ในโครงการด้านการขนส่งที่ไม่สร้างมลพิษ (Clean transportation) 1.3 พันล้านบาท (รถไฟฟ้า MRT สายสีชมพู และเหลือง) ทั้งนี้ หุ้นกู้ที่ออกมานี้ (อายุเฉลี่ย 11 ปี มีอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋วเฉลี่ยอยู่ที่ 2.45%) จะทำให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยของ RATCH ลดลงปี ละ 99 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทยังสามารถจะออกหุ้นกู้ green debenture ในสกุล US$ เพิ่มได้อีก เพื่อระดมทุนให้กับโครงการของ Ratch Australia (ส่วนใหญ่เป็นโครงการพลังงานหมุนเวียน) ซึ่งจะทำให้มีต้นทุนทางการเงินที่แข่งขันได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถประหยัดต้นทุนดอกเบี้ยได้อีก

Valuation & Action

เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ โดยประเมินราคาเป้าหมาย DCF ปี 2564 ที่ 74.00 บาท เรามองว่ายังมีโอกาสที่จะเพิ่ม IU capacities ได้อีก ซึ่งได้แก่ Nexif (ในจังหวัดระยอง, ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก) ในขณะเดียวกัน เราก็มองว่าระดับหนี้สินสุทธิต่อทุนที่ 0.59x เป็นระดับที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับ debt covenant ที่ 1.3x (หมายความว่าบริษัทสามารถจะกู้เงินเพิ่มได้อีกประมาณ 4.2หมื่นล้านบาท)

Risks

ความล่าช้าในการจัดสรรกำลังการผลิตใหม่ การเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของทางการ โรงไฟฟ้าหยุดผลิตไฟฟ้า และความล่าช้าในการก่อสร้างโครงการใหม่