'เจอาร์ 'ราคาเปิดเทรดวันแรกสูงกว่าจองอยู่ที่ 7.80 บ./หุ้น

'เจอาร์ 'ราคาเปิดเทรดวันแรกสูงกว่าจองอยู่ที่  7.80 บ./หุ้น

'JR' เข้าซื้อขายหุ้นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)โดยเปิดตลาดราคาอยู่ที่ 7.80 บาทต่อหุ้น สูงกว่าราคาจองที่ 5.50บาทต่อหุ้น ระหว่างนั้นราคาได้ปรับตัวลดลงต่ำจองอยู่ที่ 7.40 บาทต่อหุ้น

'JR' เข้าซื้อขายหุ้นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)โดยเปิดตลาดราคาอยู่ที่  7.80 บาทต่อหุ้น  สูงกว่า ราคาจองที่ 5.50 บาทต่อหุ้น ระหว่างนั้นราคาได้ปรับตัวลดลงต่ำจองอยู่ที่ 7.40บาทต่อหุ้น

JR ดำเนินธุรกิจหลักเป็นผู้รับเหมาช่วงวางระบบ (Subcontractor) โดยออกแบบ จัดหา ก่อสร้างและติดตั้งระบบสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ และระบบไฟฟ้า (Turnkey Project) รวมถึงให้บริการบำรุงรักษาและจำหน่ายอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ด้วยแผนลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศของภาครัฐ และนโยบายการขยายฐานลูกค้าภาคเอกชนของบริษัท  วันที่ 30 กันยายน 2563 บริษัทจึงมีงานที่ยังไม่ได้ส่งมอบ (Backlog) ประมาณ 6,170 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

JR มีทุนชำระแล้ว 380 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 560 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) 184 ล้านหุ้น และกรรมการ ผู้บริหาร พนักงานของบริษัท 16 ล้านหุ้น ในวันที่ 20 และ 23-24 พฤศจิกายน 2563 ราคาหุ้นละ 5.50 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,100 ล้านบาท โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ ราคา IPO 4,180 ล้านบาท มีบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชนเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

JR มีผู้ถือหุ้น 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ 1) กลุ่มวิวัฒน์เจษฎาวุฒิ ถือหุ้น 61.89% 2) กลุ่มอุทัยรัตน์ ถือหุ้น 7.10% และ 3) นายสมชาย ประพันจิตร ถือหุ้น 1.82% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO มาจากวิธีการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Book Building) ทั้งนี้ ราคาที่เสนอขายคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio :P/E) เท่ากับ 50 เท่า เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิของบริษัทในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ถึงวันที่ 30  กันยายน 2563 ที่ 0.11 บาท/หุ้น ซึ่งคำนวณจากจำนวนหุ้นสามัญภายหลังการเสนอขายครั้งนี้ (Fully Diluted)

ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท ภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย