กอปภ.ก. เตือน 12 จังหวัดภาคใต้ เฝ้าระวังน้ำท่วม ในช่วงวันที่ 30 พ.ย.-3 ธ.ค.63
กอปภ.ก. เตือน 12 จังหวัดภาคใต้ เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง และคลื่นลมแรง ในช่วงวันที่ 30 พ.ย. – 3 ธ.ค.63
กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) แจ้งเตือน 12 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ระนอง พังงา ภูเก็ต และกระบี่ เตรียมพร้อมรับมือฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง และคลื่นลมแรง ในช่วงวันที่ 30 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม 2563 โดยจัดเจ้าหน้าที่ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์ภัยอย่างใกล้ชิด พร้อมจัดชุดเคลื่อนที่เร็วเครื่องมืออุปกรณ์ประจำพื้นที่เสี่ยงให้พร้อมปฏิบัติการเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัย รวมถึงแจ้งเตือนประชาชนติดตามพยากรณ์อากาศ และปฏิบัติตามประกาศเตือนภัยอย่างเคร่งครัด
นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะผู้อำนวยการกลาง กล่าวว่า กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) ได้ติดตามสภาพอากาศ ปัจจัยเสี่ยงเชิงพื้นที่ ประกอบกับกรมอุตุนิยมวิทยาได้มีประกาศฉบับที่ 2 (295/2563) ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2563 เวลา 05.00 น. แจ้งว่า มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรง รวมทั้งหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่างมีแนวโน้มจะเคลื่อนผ่านปลายแหลมญวนเข้าปกคลุมบริเวณอ่าวไทยและภาคใต้ ส่งผลให้ภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ ปริมาณฝนสะสม อาจทำให้เกิดสถานการณ์อุทกภัย สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังแรง ทะเลมีคลื่นสูง 2 - 3 เมตร กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จึงได้ประสาน 12 จังหวัดภาคใต้ เตรียมพร้อมรับมือน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง และคลื่นลมแรง ในช่วงวันที่ 30 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม 2563 ดังนี้
พื้นที่เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง 12 จังหวัด ได้แก่
- ชุมพร (อำเภอหลังสวน อำเภอละแม อำเภอพะโต๊ะ อำเภอสวี และอำเภอทุ่งตะโก)
- สุราษฎร์ธานี (อำเภอวิภาวดี อำเภอกาญจนดิษฐ์ อำเภอท่าฉาง อำเภอไชยา อำเภอท่าชนะ อำเภอคีรีรัฐนิคม อำเภอดอนสัก อำเภอเกาะสมุย อำเภอ บ้านนาสาร อำเภอพุนพิน อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี อำเภอชัยบุรี อำเภอเวียงสระ อำเภอเกาะพะงัน และอำเภอบ้านตาขุน)
- นครศรีธรรมราช (อำเภอลานสกา อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช อำเภอพรหมคีรี อำเภอชะอวด อำเภอพระพรหม อำเภอท่าศาลา อำเภอนบพิตำ อำเภอร่อนพิบูลย์ อำเภอสิชล อำเภอทุ่งสง อำเภอพิปูน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอปากพนัง อำเภอจุฬาภรณ์ อำเภอเชียรใหญ่ อำเภอหัวไทร อำเภอช้างกลาง อำเภอฉวาง อำเภอนาบอน อำเภอขนอม อำเภอบางขัน และอำเภอทุ่งใหญ่)
- พัทลุง (อำเภอเขาชัยสน อำเภอตะโหมด อำเภอศรีนครินทร์ อำเภอเมืองพัทลุง อำเภอป่าบอน อำเภอป่าพะยอม อำเภอศรีบรรพต อำเภอบางแก้ว อำเภอปากพะยูน อำเภอควนขนุน และอำเภอกงหรา)
- สงขลา (อำเภอนาหม่อม อำเภอหาดใหญ่ อำเภอรัตภูมิ อำเภอกระแสสินธุ์ อำเภอบางกล่ำ อำเภอควนเนียง อำเภอเมืองสงขลา อำเภอจะนะ อำเภอระโนด อำเภอสทิงพระ อำเภอสิงหนคร อำเภอเทพา อำเภอคลองหอยโข่ง อำเภอสะบ้าย้อย อำเภอนาทวี และอำเภอสะเดา)
- ปัตตานี (อำเภอกะพ้อ อำเภอทุ่งยางแดง อำเภอสายบุรี อำเภอไม้แก่น อำเภอมายอ อำเภอหนองจิก อำเภอยะรัง อำเภอโคกโพธิ์ อำเภอเมืองปัตตานี อำเภอยะหริ่ง อำเภอแม่ลาน และอำเภอปะนาเระ)
- ยะลา (อำเภอรามัน อำเภอเมืองยะลา อำเภอกรงปีนัง อำเภอบันนังสตา อำเภอยะหา อำเภอธารโต อำเภอเบตง และอำเภอกาบัง)
- นราธิวาส (อำเภอยี่งอ อำเภอเมืองนราธิวาส อำเภอบาเจาะ อำเภอตากใบ อำเภอเจาะไอร้อง อำเภอระแงะ อำเภอรือเสาะ อำเภอสะไหงปาดี อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอจะแนะ อำเภอแว้ง อำเภอสุคิริน และอำเภอศรีสาคร)
- ระนอง (อำเภอกระบุรี)
- พังงา (อำเภอเกาะยาว)
- ภูเก็ต (อำเภอเมืองภูเก็ต)
- กระบี่ (อำเภอเมืองกระบี่ อำเภอเขาพนม อำเภอเกาะลันตา อำเภอคลองท่อม อำเภออ่าวลึก อำเภอปลายพระยา อำเภอลำทับ และอำเภอเหนือคลอง)
พื้นที่เฝ้าระวังสถานการณ์คลื่นลมแรง 4 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี และนราธิวาส
รวมถึงสั่งการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตในพื้นที่เสี่ยงภัยเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยในช่วงดังกล่าว โดยจัดเจ้าหน้าที่ติดตามสภาพอากาศ ปริมาณฝน พร้อมวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงและแนวโน้มสถานการณ์ภัยต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำ พื้นที่ชุมชนเมือง พื้นที่ริมแม่น้ำลำคลอง ที่ลาดเชิงเขา และพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเล อีกทั้งจัดชุดเผชิญสถานการณ์วิกฤต (ERT) รถปฏิบัติการและเครื่องจักรกลสาธารณภัยให้พร้อมเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทันที ตลอดจนประสานหน่วยงานในพื้นที่ อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสร้างการรับรู้และแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบสถานการณ์ภัย แนวทางการปฏิบัติตน และการอพยพไปยังจุดปลอดภัยผ่านทุกช่องทาง รวมถึงเน้นย้ำให้ดูและประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะด้านการดำรงชีพในเบื้องต้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยติดตามพยากรณ์อากาศ และสถานการณ์ภัยอย่างใกล้ชิด ปฏิบัติตามประกาศเตือนภัยอย่างเคร่งครัด เพื่อพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยที่อาจเกิดขึ้น สำหรับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ภัยสามารถติดต่อได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง