‘เงินร้อน’ เข้าไม่หยุดดัน ‘บาทแข็ง’

‘เงินร้อน’ เข้าไม่หยุดดัน ‘บาทแข็ง’

นักค้าเงินเผยเงินร้อนต่างชาติยังไหลเข้าไม่หยุด ดันค่าเงินบาทแข็งบาทแข็งค่าต่อเนื่อง จับตาธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณซื้อสินทรัพย์ ดันเงินทะลักเอเชีย

ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้(26พ.ย.) ปิดที่ระดับ 1,433 .56 จุด เพิ่มขึ้น 17.84 จุด หรือ 1.26% มูลค่าซื้อขาย 80,409.51 ล้านบาท โดยดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดทั้งวัน ทำระดับสูงสุดที่ 1,433.57 จุด และทำระดับต่ำสุดที่ 1,416.79 จุด นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 549 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 2,153 ล้านบาทโบรกเกอร์ซื้อ 221 ล้านบาท และรายย่อยขายสุทธิ 1,824 ล้านบาท

นายธวัชชัย อัศวพรไชย รองกรรมการผู้จัดการ บล.เอเอสเอล จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวรับปัจจัยบวกสัญญาณการฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯและเริ่มมองเห็นแนวของอุปสงค์น้ำมันฟื้นตัวขึ้น รวมถึงความคาดหวังวัคซีนมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีแรงหนุนจากเงินไหลเข้ามาต่อเนื่อง โดยธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณเข้าซื้อสินทรัพย์เพิ่มเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ส่วนปัจจัยในประเทศนั้นปัจจัยการเมืองยังคงอยู่ในภาวะตึงเครียด และยังคงต้องเฝ้าติดตามการชุมนุมต่อ

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปได้อีก หากฟันด์โฟลด์ยังไหลเข้าแบบนี้ ซึ่งก็มองว่ากองทุนน่าจะหยุดขายได้แล้วมิฉะนั้นอาจพลาดโอกาสในการทำกำไรพร้อมให้แนวรับ 1,410 จุด ส่วนแนวต้าน 1,450 จุด

นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า หากดูการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในช่วง 5 วันที่ผ่านมา หลังธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ออกมาตรการดูแลค่าเงินบาท โดยพบว่าค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 30.50-30.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยแข็งค่าขึ้นราว 0.30 บาทต่อดอลลาร์นับตั้งแต่ธปท.ออกมาตรการเมื่อ 20 พ.ย.ที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นความต้องการเข้ามาลงทุนของต่างชาติต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดหุ้นและตลาดบอนด์

หากมองระยะข้างหน้าโดยเฉพาะสิ้นปี ยังให้กรอบค่าเงินบาท อยู่ที่ 30.50 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากเชื่อว่าธปท.น่าจะดูแลค่าเงินบาท ไม่ให้หลุดที่ระดับ 30.00 บาทต่อดอลลาร์หลังจากนี้ เพราะจะทำให้การควบคุมทำได้ยาก และคาดว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ค่าเงินบาทน่าจะอ่อนค่าเล็กน้อย จากประเด็นสำคัญในช่วงกลางเดือนธ.ค.ที่จะมีการรับรองผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่คาดว่าจะอยู่บนความไม่ชัดเจน