NOBLE-SENAปรับกลยุทธ์ ดันรายได้โต

NOBLE-SENAปรับกลยุทธ์  ดันรายได้โต

2 บิ๊กอสังหาฯไม่หวั่นโควิด19 ยืดเยื้อ เร่งลุยลงทุน-ปรับกลยุทธ์ธุรกิจดันรายได้ “โนเบิล”ประกาศพร้อมกลับมาใช้นโยบายเชิงรุก เพิ่มงบลงทุน 8 พันล้านบาท เปิด 7 โครงการใหม่ 3.2 หมื่นล้านบาท เจาะกลุ่มบ้านระดับ 3 ล้านครั้งแรก หนุนรายได้โต 20%

นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัทโนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือ NOBLE กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจปีหน้าจะเป็นปีที่บริษัทจะกลับมาเติบโตในเชิงรุก ซึ่งจะโดดเด่นทั้งในแง่ของผลการดำเนินงานจากการเติบโตของธุรกิจ ทั้งในแง่รายได้และการเติบโตจากธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังรอการฟื้นตัวต่อเนื่องในปีหน้า

ด้านรายได้ บริษัทคาดว่าจะเห็นการเติบโตเพิ่มขึ้นไปอีกราว 10-20% สู่ระดับ 1-1-1.2 หมื่นล้านบาทจากปีนี้ที่คาดว่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่ 1 หมื่นล้านบาท จากการรับรู้ยอดขายที่จะบันทึกเข้ามาใหม่ในปีหน้าที่อยู่ระดับสูง

ขยายลงทุน-เปิดโครงการใหม่

นายธงชัย กล่าวว่า ปี 2564 จะเป็นปีที่บริษัทมีการขยายธุรกิจต่อเนื่อง โดยคาดใช้งบลงทุนเบื้องต้น 8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นหากเทียบกับปี 2563 ที่มีงบลงทุน เพียง 5.5 พันล้านบาท โดยจะใช้เป็นงบในการก่อสร้างโครงการต่างๆราว 5 พันล้านบาท และลงทุนซื้อที่ดินราว 2 พันล้านบาท ขณะที่อีก 1.6 พันล้านบาท เป็นการลงทุนร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อขยายรายได้และโอกาสใหม่ๆของบริษัทในอนาคต

ทั้งนี้การเปิดโครงการใหม่ปีหน้าตั้งเป้าเปิดตัว 7 โครงการใหม่ มูลค่าลงทุนกว่า 3.2 หมื่นล้านบาท โดยโครงการที่จะทำในอนาคตได้มีการปรับกลยุทธ์เน้นโครงการระดับราคา 3 ล้านบาทภายใต้ แบรนด์ “นิว” (NUE) มากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับการซื้อที่ดินของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา เพื่อให้เหมาะกับกลุ่มลูกค้าในปัจจุบันมากขึ้น ซึ่งจะแตกต่างกับอดีตที่ส่วนใหญ่ที่โฟกัสไปที่บ้านหรือคอนโดระดับ 5 ล้านบาทขึ้นไป เนื่องจากตลาดนี้เริ่มมีความต้องการที่จำกัดมากขึ้น ซึ่งทำให้สัดส่วนคอนโดมิเนียมของบริษัทจะเพิ่มขึ้นมาเป็น 50% และแนวราบใหม่ๆที่จะเห็นมากขึ้นทำให้สัดส่วนจะเพิ่มเป็น 27%

ผนึกศรีสวัสดิ์ลุยซื้อหนี้เสีย

นอกจากการขยายการเติบโตในธุรกิจหลักๆแล้วปี 2564 จะเป็นปีที่จะเห็นบริษัทกระจายการเติบโตในธุรกิจอื่นๆมากขึ้น ผ่านดีลใหม่ๆที่จะเห็นการต่อยอดและเห็นการจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ๆเพิ่มขึ้น ทั้งการจับมือกับ บริหารสินทรัพย์ เอส ดับบลิว พี จำกัด (SWP) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ SAWAD ที่บริษัทเข้าไปลงทุนราว 300 ล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา

การหันมาทำธุรกิจรับซื้อหนี้เสีย เนื่องจากโอกาสในการเติบโตของธุรกิจนี้ค่อนข้างมากและธุรกิจรับซื้อหนี้เสียเป็นธุรกิจที่มีกำไรสูงมาก ซึ่งหากดูหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอลในระบบ น่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในปี 2564 จากผลกระทบของไวรัสโคโรนา สายพันธ์ใหม่หรือโควิด 19 อีกทั้งในตลาดนี้ถือว่ามีผู้เล่นในมากนัก โดยเฉพาะเงินลงทุนในการเข้าไปซื้อหนี้เสียมีเพียงระดับ 2-3 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังต่ำมาก หากเทียบกับหนี้เสียที่จะออกมาให้เห็นในระยะข้างหน้าที่คาดว่ามีสุงถึง 2-3 ล้านล้านบาท

ดังนั้นจะเป็นโอกาสของบริษัทจากการมีทุนที่แข็งแกร่ง และการมีทรัพยากร มีพนักงานและช่องทาง ที่พร้อมที่จะเข้าไปซัพพอร์ต ธุรกิจรับซื้อหนี้เสียและสินทรัพย์รอการขาย หรือ NPA มาบริหารได้ในราคาถูก ภายใต้หนี้เสียที่ออกมาขายในระบบมากขึ้น

“เราจะเข้าไปบุกธุรกิจรับซื้อหนี้เสีย เราเคยมีประสบการณ์ จากการจับมือกับเอเอ็มซีต่างชาติในปี 2540 เพื่อเข้าไปรับซื้อหนี้เสียมาบริหารที่พบว่าสร้างผลกำไรให้เราอย่างมากมาแล้ว เพราะหากด้าน P/E Ratio พบว่าธุรกิจนี้มีสูงถึง 30 เท่า หากเทียบกับธุรกิจเราที่อยู่เพียง 5 เท่านั้น ดังนั้นเงินลงทุนที่เราใส่ไปน่าจะเพิ่มมูลค่าได้มากในอนาคต”

ทั้งนี้บริษัทยังตั้งเป้าผลักดันบริษัทนี้ให้สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าด้วย

จับมือบีทีเอสเสริมแกร่งธุรกิจ

นอกจากนี้ภายใน ธ.ค.นี้ หรือต้นม.ค.ปี 2564 บริษัทจะมีการจับมือครั้งสำคัญกับบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จํากัด (มหาชน) BTS เพื่อหนุนการเติบโตให้กับธุรกิจในอนาคต ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการซึ่งคาดว่าจะสามารถแถลงความร่วมมือได้ในเร็วๆนี้ เพื่อพัฒนาที่ดินร่วมกันในอนาคต

สำหรับภาพรวมธุรกิจปีนี้ บริษัทมั่นใจว่ารายได้น่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 1 หมื่นล้านบาท จากช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาที่สามารถทำรายได้ได้แล้วเกือบ 8 พันล้านบาท จากการบันทึกยอดขายในมือ ในปีนี้ที่เติบโตก้าวกระโดด โดย 11 เดือนมียอดพรีเซลแล้วกว่า 7 พันล้านบาท

“ปีนี้เป็นปีที่ดีของเรา แม้จะเจอโควิด-19 แต่เราไม่ได้กระทบเราทำยอดขายได้ดีเข้าเป้าแน่นอน ซึ่งหากเป็นไปตามเป้าที่วางไว้เราคาดว่า เราจะสามารถอนุมัติการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ระดับ 70-80% ของกำไรสุทธิหรือกว่า 2 บาทต่อหุ้นได้”

ทั้งนี้ล่าสุดบริษัทได้ขอบอรด์อนุมัติแตกพาร์ จากหุ้นละ 3 บาท เหลือ 1 บาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องของบริษัทมากขึ้น ซึ่งคาดว่าแจ้งให้ผุ้ถือหุ้นรับทราบได้ใน 23 ธ.ค.นี้ ซึ่งน่าจะส่งผลต่อราคนาหุ้นของ NOBLE เปลี่ยนไปตั้งแต่ม.ค.ปีหน้าเป็นต้นไป 

SENAปรับกลยุทธ์รุกคอนโดต่ำล้าน

ด้านนางสาวอธิกา บุญรอดชู ผู้อำนวยการฝ่ายจัดสรรเงินทุนและการลงทุน บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA กล่าวว่า ภายใต้โควิด-19 ที่ยังอยู่บวกกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว บริษัทมีการปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในปี 2564 มากขึ้น โดยจะมารุกในส่วนคอนโดราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทให้เห็นมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการในตลาดที่ยังมีความต้องการคอนโดระคาต่ำกว่า 1ล้านที่มีอยู่สูง

อีกทั้งภายใต้ดอกเบี้ยต่ำและการทำโปรโมชั่นของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะแบงก์รัฐ ที่มีการให้ดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งจะช่วยหนุนให้คอนโดระดับดังกล่าวน่าจะมีความต้องการในตลาดสูงขึ้น ดังนั้นเป็นโอกาสดีของบริษัทที่จะสามารถสร้างการเติบโตได้ในเซ้กเม้นท์นี้ ซึ่งจะหนุนการเติบโตของบริษัทได้ต่อเนื่อง

ส่วนการเติบโตของปี 2564 บริษัทยังเชื่อว่าน่าจะทำได้ใกล้เคียงปีนี้ภายใต้สถานการณ์ที่โควิด-19 ยังอยู่ ส่วนงานในมือ ปัจจุุบันมีอยู่ราว 1 หมื่นล้านบาทซึ่งจะทยอยรับตู้ตั้งแต่ปีนี้ และต่อเนื่องยาวไปจนถึง ปี 2565ด้วย ส่วนการลงทุนปีหน้าบริษัทอยู่ระหว่างการทำแผนซึ่งคาดว่าจะชัดเจนภายในเร็วๆนี้จากปีนี้ที่ลงทุนเปิดโครงการใหม่ไปกว่า 3 พันล้านบาท 

ส่วนทิศทางผลการดำเนินงานปีนี้บริษัทยังคงยอดขายไว้ที่ 8,424 ล้านบาท แม้จะเจอวิกฤตโควิด-19 เนื่องจากบริษัทมการเปิดตัวโครงการใหม่และรับรู้งานในมืออย่างต่อเนื่อง  

“ปีหน้าเราก็ยังต้องลุ้นว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรเพราะหากเศรษฐกิจชะลออสังหาฯก็อาจชะลอตัว ดังนั้นหน้าที่ของเราคือทำโปรดักต์ให้ตอบโจทย์คนซื้อมากที่สุด และต้องมีเป้าหมายในการรักษาการเติบโตด้านการเงินไม่ให้ต่ำกว่าปีนี้”