กานดาฯเบรกแผนซื้อที่ดินปี 64

กานดาฯเบรกแผนซื้อที่ดินปี 64

กานดา พร็อพเพอร์ตี้ กางแผนปี 64 ตุนเงินสด-ไม่ซื้อที่ดินใหม่ เลือกพัฒนาแลนด์แบงก์ในมือลดความเสี่ยง เล็งเปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่า 6 พันล้าน


นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวถึงนโยบายปี 2564 ว่า บริษัทมุ่งบริหารความเสี่ยงและรักษากระแสเงินสด ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในการดำเนินธุรกิจท่ามกลางวิกฤติที่ยากจะคาดการณ์ โดยนำที่ดินในมือมาพัฒนาก่อน จะยังไม่ซื้อที่ดินใหม่ นอกจากเจรจาได้ในราคาพิเศษ

ทั้งนี้ บริษัทจะเน้นสร้างความแข็งแรงทางการเงินมากกว่าการเติบโตแบบก้าวกระโดด หากยังไม่มั่นใจจะไม่ลงทุน แม้ว่าที่ผ่านมาบริษัทจะประสบความสำเร็จในการทำโครงการแนวราบที่ภูเก็ตหลายโครงการ แต่ไม่มีความจำเป็นต้องไปเสี่ยงลงทุนธุรกิจใหม่ภายใต้ความไม่แน่นอน

“เดิมเราซื้อที่เก็บไว้ ปัจจุบันมีกว่า 300 ไร่ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเพื่อมาพัฒนาโครงการ ในจังหวะเวลาที่เหมาะสม เฉพาะที่ภูเก็ต มี 50 ไร่ และอยู่ระหว่างเจรจาซื้อเพิ่มในทำเลที่ติดกับที่ดินที่มีอยู่ ซึ่งภูเก็ตเป็นตลาดที่บริษัทมีความชำนาญและยังมีดีมานด์ในตลาด"

ปีหน้า กานดาฯ มีแผนพัฒนาโครงการใหม่อย่างน้อย 7 โครงการ มูลค่า 6,000 ล้านบาท เน้นทาวน์เฮ้าส์เป็นส่วนใหญ่เพื่อตอบโจทย์กำลังซื้อของลูกค้า คาดมียอดขายไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท จากปีนี้ปิดยอดขายราว 2,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงชะลอการลงทุนเปิดตัวโครงการในบางพื้นที่เน้นตามความเหมาะสมเหมือนปีนี้ ซึ่งหลังโควิดบริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่ทำเลรังสิตคลอง 4 ภายใต้แบรนด์ไอลีฟ ไพร์ม มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท มีทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์ เดือน ต.ค. เปิดตัวโครงการใหม่ที่บางบ่อ 2 โครงการเป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด 1 โครงการ 140 ยูนิต เป็นทาวน์เฮ้าส์ 1 โครงการ 400 ยูนิต ซึ่งเป็นทำเลที่มั่นใจ ปลายปีนี้ไปจนถึงต้นปี 2564 จะเปิดตัวโครงการใหม่ ย่านพระราม 2 จำนวน 2 โครงการ เป็นทาวน์เฮ้าส์ 1 โครงการ 500 ยูนิต และบ้านเดี่ยว บ้านแฝด จำนวน 300 ยูนิต เนื่องจากอัตราการดูดซับยังดีอยู่มากประกอบกับการขยายโครงข่ายคมนาคมเป็นโอกาสที่ดีในการเปิดตัวโครงการ

นอกจากนี้ เปิดโครงการแรกที่ภูเก็ต ภายใต้แบรนด์“ไอลีฟ ไพร์ม ”มูลค่า 600 ล้านบาท จำนวน 200 ยูนิต นับเป็นโครงการที่ 4 ซึ่งพบว่ายังคงมีดีมานด์ในตลาดอยู่บ้างแม้ว่ากลุ่มลูกค้าจะได้รับผลกระทบจากโควิด มีผลต่อรายได้และกำลังซื้อที่ลดลง ทำให้อัตราการดูดซับช้าลงแต่ยังเป็นตลาดที่สามารถไปได้เรื่อยๆ ซึ่งโครงการไอลีฟ ไพร์ม ภูเก็ต คาดต้องใช้เวลา 2-3ปี จะสามารถปิดโครงการตรงกับตัวเลขการประเมินของศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ขั้นต่ำ ทำให้บริษัทปรับกระบวนการก่อสร้างใหม่จากเดิมที่ลุยก่อสร้างครึ่งโครงการแต่พอเกิดสถานการณ์โควิดต้องชะลอการก่อสร้าง