"อาคม"ไฟเขียวสบน.กู้เงินต่างประเทศ
"อาคม"มอบนโยบายสบน.กู้เงินต่างประเทศ เพื่อกระจายแหล่งระดมทุน เปิดทางเอกชนใช้สภาพคล่องในประเทศ ยันหนี้ต่อจีดีพีระยะ 5 ปีไม่เกินกรอบยั่งยืนการคลังที่ 60% ภายใต้จีดีพีเติบโต 3-5%
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมการดำเนินงานสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.)ว่า ได้มอบนโยบายให้สบน.ศึกษาแนวทางการกู้เงินจากต่างประเทศ เพื่อกระจายแหล่งเงินกู้ เนื่องจาก ในช่วงโควิด-19 ความต้องการเงินกู้ในประเทศของภาคเอกชนอาจสูงขึ้น
ทั้งนี้ การกู้เงินจากต่างประเทศนั้น ขอให้เน้นการกู้จากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ไม่ใช่เป็นการกู้จากตลาดเงินในต่างประเทศ ซึ่งต้นทุนการกู้ระหว่างในประเทศกับต่างประเทศไม่มีความแตกต่างกันมากนัก
"การกู้จากต่างประเทศขอให้เน้นในการใช้เงินกู้ใน 4 เรื่องสำคัญ คือ การกู้จากต่างประเทศ จะต้องใช้ในโครงการที่มีการถ่ายทอดเทคโนดลยีชั้นสูง , เป็นการกู้มาใช้ในสาขาที่ประเทศต้องการ คือ ด้านเทคโนโลยี และดิจิตอล หรือด้านระบบขนส่งมวลชน เน้นการลงทุนในโครงการที่เป็น green economy และโครงการลงทุนเชิงสังคม ที่เน้นด้านสุขภาพอนามัย ซึ่งมีโอกาสที่ประเทศไทยจะพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในอนาคต"
เขากล่าวด้วยว่า สถาบันระหว่างประเทศหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ธนาคารพัฒนาเอเชีย และ สถาบันจัดอันดับเครดิตต่างๆ ก็มีความเห็นตรงกันว่า ประเทศไทย ยังมีการลงทุนน้อย ดังนั้น การกู้เงินเพื่อนำมาพัฒนาประเทศจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ
สำหรับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของรัฐบาลอยู่ที่ 49.34% ซึ่งยังต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ที่ไม่เกิน 60%และแม้ว่ารัฐบาลได้ออกพ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทแล้วก็ตาม ในปีหน้าและระยะ 5 ปีข้างหน้าหนี้ต่อจีดีพีก็ยังไม่เกินกรอบที่กำหนด
อย่างไรก็ตาม ภาระหนี้ต่อ จีดีพียังขึ้นอยู่กับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจด้วย หากการขยายตัวต่ำ ก็จะทำให้หนี้ต่อจีดีพีสูงขึ้น
ทั้งนี้ ในปีหน้า คาดว่าจีดีพี จะขยายตัว 4% และในช่วง 5 ปี คาดว่าจะขยายตัว 3-5%
เขากล่าวอีกว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ยังขึ้นอยู่กับการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวในประเทศได้ด้วย เนื่องจาก ภาคการท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 12% ของจีดีพี