'กูรู'จัดพอร์ตปี64เชียร์ลงทุนหุ้น รับสภาพคล่องล้น-ดอกเบี้ยต่ำ

'กูรู'จัดพอร์ตปี64เชียร์ลงทุนหุ้น รับสภาพคล่องล้น-ดอกเบี้ยต่ำ

กองทุนจัดพอร์ตปี 64 ชูกลยุทธ์ “หุ้น-ตราสารหนี้” ติดพอร์ต เน้นหุ้นต่างประเทศจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐ-จีน ด้านบลจ.ทาลิส ชี้โควิดหนุนเงินไหลเข้าเอเชีย ต่างชาติซื้อหุ้นไทยครั้งแรกรอบ 6 ปี หวังผลตอบแทนหุ้นรวมปันผลปีหน้า 8-10%

ส่วนบลจ.วี มองนโยบายการเงินทั่วโลก หนุนสภาพคล่องล้น นักลงทุนแห่ลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง หลังคาดดอกเบี้ยต่ำไปอีก 2-3 ปี

นายวศิน วณิชย์วรนันต์ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวในงานสัมมนา Wealth Forum ลงทุนอย่างไร.. ให้รวย? ในหัวข้อบริหารเงินอย่างไร?... ภายใต้เศรษฐกิจผันผวน ว่า การบริหารเงินภายใต้เศรษฐกิจผันผวนมีกลยุทธ์ลงทุน 2 แบบ คือแบบป้องกัน (passive) หรือประเภทตราสารหนี้ และเชิงรุก (active) หรือตราสารทุน ซึ่งต้องผสมการลงทุนทั้งสองแบบในแต่ละสินทรัพย์ เพื่อให้ผลตอบแทนระดับ 7-10% และจำเป็นต้องมีการเพิ่มสินทรัพย์ประเภทหุ้นทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น

ปัจจัยสำคัญไม่ได้มาจากพื้นฐานเศรษฐกิจเพราะยังคาดการณ์ปี 2564 เศรษฐกิจโลกยังติดลบ 4% แต่ปี 2564 กลับมาเติบโต 5% ทำให้แต่ละประเทศและไทยยังต้องใช้เวลา 3-4 ปี ถึงจะเห็นการฟื้นตัวก่อนโควิด-19 แต่ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกกลับปรับตัวขึ้นสวนทางกับภาพเศรษฐกิจ เพราะนโยบายที่ทุกประเทศใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ทำให้เงินเฟ้อไม่ถูกกดดัน

ความคาดหวังนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐที่ไม่สุดโต่งแต่เน้นการเจรจา สร้างพันธมิตรและพรรคพวก เช่นเดียวกับจีนที่ต้องการขึ้นมาเป็นผู้กุมอำนาจการบริโภคแทนสหรัฐดำเนินนโยบายหมุนวน 2 กลุ่ม คือเน้นบริโภคภายในประเทศและยังสร้างคู่ค้าต่างประเทศมาหนุนนโยบายดังกล่าว

ดังนั้น ตลาดหุ้นจึงมีความกังวลและความกลัวด้านความเสี่ยงลดลง แม้ต่างประเทศยังมีการติดเชื้อรุนแรงแต่มีข่าวพัฒนาวัคซีนที่ดีขึ้นจนทำให้ทุกคนไม่กลัวเหมือนช่วงแรก เมื่อความเสี่ยงดีขึ้น ความกลัวน้อยลง เริ่มเห็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในอนาคต ภาพตลาดหุ้นวันนี้จึงปรับตัวขึ้นและเป็นช่วงเหมาะสมเข้ามาลงทุนเพื่อไม่ให้เสียโอกาส

สำหรับการจัดสรรลงทุนต้องใช้กลยุทธ์หลากสินทรัพย์ ให้น้ำหนักหุ้นที่ต้องกระจายในและต่างประเทศ หากต้องการผลตอบแทน 5.5% ในช่วง 3 ปี มีหุ้นในพอร์ต 50% (หุ้นไทย 25% และหุ้นต่างประเทศ 25%) กรณีต้องการผลตอบแทน 7% หุ้นในพอร์ตต้องขยับเป็น 65 % (หุ้นไทย 25 % หุ้นต่างประเทศ 40 %)

ส่วนการลงทุนทางเลือกอื่นตราสารหนี้ให้น้ำหนักเป็นระยะยาวมากขึ้น ตอบรับกับภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวทำให้ผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะยาวจะดีกว่าระยะสั้น ด้านทองและน้ำมัน แค่คงลงทุน กองทรัสต์ควรมีอยู่ในพอร์ตเพื่อรับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ ส่วนเงินฝากไม่ควรมีเยอะในภาวะดอกเบี้ยต่ำแต่ควรนำมาบริหารมากกว่า

ด้านประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในปัจจุบันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงหลังเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งจากประสบการณ์ทำงานและการลงทุนส่วนตัวมา 30 ปี พบว่าปีนี้ทุกอย่างกลับหัวตีลังกาไปหมด ทั้งเรื่องความเสี่ยงและผลตอบแทน

ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือ กองรีท ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนเป็นบวกแทบทุกปี มีขาดทุนอยู่แค่ 1-2 ปีเท่านั้น และคิดเป็นอัตราที่น้อยมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้น แต่มาปีนี้กองรีทให้ผลตอบแทนติดลบกว่า 20% แซงหน้าตลาดหุ้นไทยที่ติดลบ 12% ไปแล้ว

ส่วนตราสารหนี้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ปัจจุบันมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะตราสารหนี้ระยะยาว เพราะถ้ามองไปในอนาคตเมื่อมีวัคซีนโควิด-19 ออกมา ส่งผลให้เศรษฐกิจเริ่มทยอยฟื้นตัว แต่ในขณะเดียวกันเชื่อว่าธนาคารกลางของประเทศต่างๆ จะยังกดดอกเบี้ยต่ำต่อไปเพื่อให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวนั้นจะฟื้นตัวได้อย่างเข้มแข็ง

ดังนั้น การใช้มาตรการคิวอี การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายขาดดุลงบประมาณยังจำเป็น ทำให้แนวโน้มเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยมีโอกาสเร่งตัวขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัวไประยะหนึ่งแล้ว ซึ่งจะกระทบทำให้ราคาตราสารหนี้ระยะยาวปรับตัวลดลง

“การจับจังหวะลงทุนในปีนี้ยากมาก แม้เราจะประเมินว่าท้ายที่สุดจะมีวัคซีนออกมาและจัดพอร์ตลงทุนให้สอดรับกับเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัว แต่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมาก เป็นปีที่ยากมากในการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ต้องดูเป็นรายบุคคลไปเลย”

อย่างไรก็ตาม เขา ระบุว่า การระบาดของโควิด-19 ทำให้เห็นว่าทวีปเอเชียสามารถรับมือโรคระบาดได้ดีกว่าทวีปอื่นๆ ส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็ว ยิ่งมีความชัดเจนเรื่องการพัฒนาวัคซีนจะหนุนเงินทุนไหลเข้า อย่างประเทศไทยในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่มีรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิกว่า 8 แสนล้านบาท พึ่งจะกลับเข้ามาในทุนอย่างมีนัยสำคัญในช่วงนี้ หลังไทยควบคุมการระบาดได้ดี

  \'กูรู\'จัดพอร์ตปี64เชียร์ลงทุนหุ้น รับสภาพคล่องล้น-ดอกเบี้ยต่ำ
  • Back
  •  ย้อนกลับ
  • ข่าวถัดไป 
  •    Zoom x 0.81.01.52.03.0
  •  แก้ไข

กองทุน ข่าว 3 หน้า 1

จัดพอร์ตปี64กูรูเชียร์หุ้นโลก

รับสภาพคล่องล้น-ดบ.ต่ำ

.............................................

กองทุนจัดพอร์ตปี 64 ชูกลยุทธ์ “หุ้น-ตราสารหนี้” ติดพอร์ต เน้นหุ้นต่างประเทศจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐ-จีน ด้านบลจ.ทาลิส ชี้โควิดหนุนเงินไหลเข้าเอเชีย ต่างชาติซื้อหุ้นไทยครั้งแรกรอบ 6 ปี หวังผลตอบแทนหุ้นรวมปันผลปีหน้า 8-10% ส่วนบลจ.วี มองนโยบายการเงินทั่วโลก หนุนสภาพคล่องล้น นักลงทุนแห่ลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง หลังคาดดอกเบี้ยต่ำไปอีก 2-3 ปี

นายวศิน วณิชย์วรนันต์ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวในงานสัมมนา Wealth Forum ลงทุนอย่างไร.. ให้รวย? ในหัวข้อบริหารเงินอย่างไร?... ภายใต้เศรษฐกิจผันผวน ว่า การบริหารเงินภายใต้เศรษฐกิจผันผวนมีกลยุทธ์ลงทุน 2 แบบ คือแบบป้องกัน (passive) หรือประเภทตราสารหนี้ และเชิงรุก (active) หรือตราสารทุน ซึ่งต้องผสมการลงทุนทั้งสองแบบในแต่ละสินทรัพย์ เพื่อให้ผลตอบแทนระดับ 7-10% และจำเป็นต้องมีการเพิ่มสินทรัพย์ประเภทหุ้นทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น

ปัจจัยสำคัญไม่ได้มาจากพื้นฐานเศรษฐกิจเพราะยังคาดการณ์ปี 2564 เศรษฐกิจโลกยังติดลบ 4% แต่ปี 2564 กลับมาเติบโต 5% ทำให้แต่ละประเทศและไทยยังต้องใช้เวลา 3-4 ปี ถึงจะเห็นการฟื้นตัวก่อนโควิด-19 แต่ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกกลับปรับตัวขึ้นสวนทางกับภาพเศรษฐกิจ เพราะนโยบายที่ทุกประเทศใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ทำให้เงินเฟ้อไม่ถูกกดดัน

ความคาดหวังนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐที่ไม่สุดโต่งแต่เน้นการเจรจา สร้างพันธมิตรและพรรคพวก เช่นเดียวกับจีนที่ต้องการขึ้นมาเป็นผู้กุมอำนาจการบริโภคแทนสหรัฐดำเนินนโยบายหมุนวน 2 กลุ่ม คือเน้นบริโภคภายในประเทศและยังสร้างคู่ค้าต่างประเทศมาหนุนนโยบายดังกล่าว

ดังนั้น ตลาดหุ้นจึงมีความกังวลและความกลัวด้านความเสี่ยงลดลง แม้ต่างประเทศยังมีการติดเชื้อรุนแรงแต่มีข่าวพัฒนาวัคซีนที่ดีขึ้นจนทำให้ทุกคนไม่กลัวเหมือนช่วงแรก เมื่อความเสี่ยงดีขึ้น ความกลัวน้อยลง เริ่มเห็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในอนาคต ภาพตลาดหุ้นวันนี้จึงปรับตัวขึ้นและเป็นช่วงเหมาะสมเข้ามาลงทุนเพื่อไม่ให้เสียโอกาส

สำหรับการจัดสรรลงทุนต้องใช้กลยุทธ์หลากสินทรัพย์ ให้น้ำหนักหุ้นที่ต้องกระจายในและต่างประเทศ หากต้องการผลตอบแทน 5.5% ในช่วง 3 ปี มีหุ้นในพอร์ต 50% (หุ้นไทย 25% และหุ้นต่างประเทศ 25%) กรณีต้องการผลตอบแทน 7% หุ้นในพอร์ตต้องขยับเป็น 65 % (หุ้นไทย 25 % หุ้นต่างประเทศ 40 %)

ส่วนการลงทุนทางเลือกอื่นตราสารหนี้ให้น้ำหนักเป็นระยะยาวมากขึ้น ตอบรับกับภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวทำให้ผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะยาวจะดีกว่าระยะสั้น ด้านทองและน้ำมัน แค่คงลงทุน กองทรัสต์ควรมีอยู่ในพอร์ตเพื่อรับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ ส่วนเงินฝากไม่ควรมีเยอะในภาวะดอกเบี้ยต่ำแต่ควรนำมาบริหารมากกว่า

ด้านประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในปัจจุบันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงหลังเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งจากประสบการณ์ทำงานและการลงทุนส่วนตัวมา 30 ปี พบว่าปีนี้ทุกอย่างกลับหัวตีลังกาไปหมด ทั้งเรื่องความเสี่ยงและผลตอบแทน

ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือ กองรีท ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนเป็นบวกแทบทุกปี มีขาดทุนอยู่แค่ 1-2 ปีเท่านั้น และคิดเป็นอัตราที่น้อยมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้น แต่มาปีนี้กองรีทให้ผลตอบแทนติดลบกว่า 20% แซงหน้าตลาดหุ้นไทยที่ติดลบ 12% ไปแล้ว

ส่วนตราสารหนี้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ปัจจุบันมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะตราสารหนี้ระยะยาว เพราะถ้ามองไปในอนาคตเมื่อมีวัคซีนโควิด-19 ออกมา ส่งผลให้เศรษฐกิจเริ่มทยอยฟื้นตัว แต่ในขณะเดียวกันเชื่อว่าธนาคารกลางของประเทศต่างๆ จะยังกดดอกเบี้ยต่ำต่อไปเพื่อให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวนั้นจะฟื้นตัวได้อย่างเข้มแข็ง

ดังนั้น การใช้มาตรการคิวอี การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายขาดดุลงบประมาณยังจำเป็น ทำให้แนวโน้มเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยมีโอกาสเร่งตัวขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัวไประยะหนึ่งแล้ว ซึ่งจะกระทบทำให้ราคาตราสารหนี้ระยะยาวปรับตัวลดลง

“การจับจังหวะลงทุนในปีนี้ยากมาก แม้เราจะประเมินว่าท้ายที่สุดจะมีวัคซีนออกมาและจัดพอร์ตลงทุนให้สอดรับกับเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัว แต่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมาก เป็นปีที่ยากมากในการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ต้องดูเป็นรายบุคคลไปเลย”

อย่างไรก็ตาม เขา ระบุว่า การระบาดของโควิด-19 ทำให้เห็นว่าทวีปเอเชียสามารถรับมือโรคระบาดได้ดีกว่าทวีปอื่นๆ ส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็ว ยิ่งมีความชัดเจนเรื่องการพัฒนาวัคซีนจะหนุนเงินทุนไหลเข้า อย่างประเทศไทยในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่มีรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิกว่า 8 แสนล้านบาท พึ่งจะกลับเข้ามาในทุนอย่างมีนัยสำคัญในช่วงนี้ หลังไทยควบคุมการระบาดได้ดี

เขา มองว่า การระบาดของโควิด-19 ทำให้เป็นโอกาสสำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ การป้องกันเชื้อโรค ส่วนธุรกิจที่น่าเป็นห่วงคือผู้ประกอบการที่ไม่สามารถปรับตัวรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปได้ทัน ไม่มีการนำระบบออนไลน์มาใช้ในการดำเนินธุรกิจ

สำหรับแนวโน้มอัตราผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยรวมเงินปันผลในปีหน้าคาดหวังไว้ที่ระบาด 8-10% ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนยังคงแนะนำลงทุนในตลาดหุ้น 50-60% ตราสารหนี้ 20% เน้นตราสารหนี้ระยะสั้นอายุไม่เกิน 3 ปี แม้ผลตอบแทนไม่สูง แต่ค่อนข้างปลอดภัย

ส่วนทองคำยังควรติดพอร์ตการลงทุนไว้บ้างเพราะความไม่แน่นอนยังมีอยู่สูง ส่วนคริปโตเคอเรนซี่เป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่น่าสนใจสามารถติดพอร์ตไว้ได้ 1-2% เป็นเสมือนการทดลองลงทุน

นางสาวนิตยา เลิศแสงเพชร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารผลิตภัณฑ์และช่องทางบริการ บริษัทหลักทรัพย์ จัดการกองทุน(บลจ.) วี กล่าวว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีก 2-3 ปี และอเมริกายังคงอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบต่อเนื่อง ทำให้มีเงินสภาพคล่องในระบบจำนวนมาก ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อน

ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นยังน่าสนใจ ขณะที่การลงทุนทองคำยังน่าสนใจ จากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ และหากเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีหน้าจากเศรษฐกิจฟื้นตัว ทำให้เมื่อนำอัตราดอกเบี้ยลบเงินเฟ้อ แล้วดอกเบี้ยติดลบ ส่งผลให้ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุน ขณะที่ตราสารหนี้ ขณะที่ หุ้นเทคฯปัจจุบันแม้ราคาหุ้นปรับตัวลดลง แต่มองระยะยาว

ดังนั้น ธีมการลงทุนในปีหน้า สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ระดับกลาง แนะนำลงทุนหุ้น 50% ลงทุนตราสารหนี้ 40 % และลงทุนในทองคำ 10%

“หลังโควิด-19 มุมมองการลงทุนเปลี่ยนไป โดยหาสินทรัพย์การลงทุนที่ตอบโจทย์การลงทุนจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เช่น หุ้นเทคโนโลยี แม้ราคาปัจจุบันลงมา แต่เชื่อว่าระยะยาว ประชาชนยังคงชอปปิง ออนไลน์ 5G กำลังมา ดังนั้นเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลง บริษัทยังคงแนะนำทยอยสะสม และจากโควิด-19 ระบาดทำให้ธนาคารประเทศต่างๆยังคงทำ QE ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนทำให้ตลาดเกิดใหม่น่าสนใจ แต่ต้องเลือกลงทุนในประเทศที่ราคายังไม่แพง และทองคำยังคงมีอยู่ ช่วงนี้ปรับตัวลงเพราะคิดเงินเฟ้อมาทองคำไม่น่าสนใจหากการปรับตัวราคาทองคำไปกับ”