ชี้ยื้อต่อสัญญารถไฟฟ้าสีเขียว ปชช.เสียประโยชน์ 'คมนาคม' เผยส่งความเห็นให้ มท. แล้ว

ชี้ยื้อต่อสัญญารถไฟฟ้าสีเขียว ปชช.เสียประโยชน์ 'คมนาคม' เผยส่งความเห็นให้ มท. แล้ว

"ศรีสุวรรณ" วอนสังคมจับตา ครม. ยื้อการลงมติให้ความเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสีเขียว ซึ่งเป็นโครงการที่ให้บริการสาธารณะไม่ใช่ผลประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นผลประโยชน์ของประชาชน ด้าน "รมว.คมนาคม" เผยส่งความเห็นให้ "มหาดไทย" แล้ว

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวถึงกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 พ.ย. ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทย ขอถอนเรื่องการพิจารณาลงมติให้ความเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสีเขียว กับ บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ กลับไปทบทวน หลังจากจากกระทรวงคมนาคม โดยนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม หยิบยกผลการศึกษาของกรมขนส่งทางราง ลงวันที่ 10 พ.ย. 2563 ขึ้นมาคัดค้าน ว่า เป็นการทำให้ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบทางธุรกิจโครงการขนาดใหญ่ประเภทนี้ต้องวางแผนการลงทุนระยะยาว แต่ผู้กระทบโดยตรงอย่างแท้จริงคือผู้โดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่ขาดโอกาสที่จะมีความสะดวกสบายในการเดินทาง

สำหรับนายศรีสุวรรณ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ที่ผ่านมา เป็นผู้ยื่นคำร้องเรียนและสอบถามต่อคณะรัฐมนตรี กรณีคณะกรรมการคัดเลือกตาม ม.36 แห่ง พ.ร.บ.ร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน 2562 โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มีมติเมื่อวันที่ 21 ส.ค.63 เห็นชอบเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเอกสารประกวดราคาใหม่ (TOR)หลังจากที่มีการขายซองประกวดราคาไปแล้ว โดยเขาบอกว่า ที่ร้องเรียนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม เพราะชัดเจนว่ามีพฤติกรรมในการเอื้อเอกชนบางราย ซึ่งขัดแนวทางการประมูลงานในอดีต และเมื่อศาลปกครอง สั่งคุ้มครองให้กลับไปใช้แนวทางการประมูลเดิม จึงถือว่าถูกต้องแล้ว

อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลยกเหตุไม่ให้ความเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสีเขียว ส่วนตัวมองว่า ผู้เสียหายที่สุดคือประชาชน เพราะบีทีเอส มีสัญญาอีกนับ 10 ปี กว่าจะครบสัญญาสัมปทาน ยังมีรัฐบาลอีกหลายรัฐบาล แต่หากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนฯ โดยเร็ว จะทำให้ผู้ประกอบการมีความสั่นใจว่าจะไม่หยุดยั้งการพัฒนาการให้บริหารเพื่อประโยชน์ผู้โดยสาร ในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่เห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนฯ ผู้ประกอบการก็มีเหตุผลที่ไม่กล้าลงทุนในระยะยาว เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะได้ไปต่อหรือไม่

นอกจากนี้ บีทีเอส คือผู้ลงทุนโครงการแต่ต้น ย่อมรู้เทคนิควิธีการเดินรถอย่างช่ำชองแล้ว แต่การชักเข้าชักออก คนที่กระทำการอย่างนี้เท่ากับไม่ได้ยึดถือประชาชนเป็นที่ตั้ง แต่เวลาหาเสียงกลับบอกว่าตัวเองยึดถือประชาชนเป็นที่ตั้ง ดังนั้น การเร่งรีบให้ความเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว จึงเอื้อประชาชน ไม่ใช่เอกชน

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า อยากให้สังคมจับตาว่า โครงการที่ให้บริการสาธารณะไม่ใช่ผปลประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนผู้โดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส จึงอยากให้ประชาชนส่งเสียง เพื่อที่นักการเมืองจะเกิดความยำเกรงเสียงประชาชนบ้าง

160610194483

อนึ่ง การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) 17 พ.ย. 63 กระทรวงคมนาคม หยิบยกผลการศึกษาของกรมขนส่งทางราง ลงวันที่ 10  พ.ย. 63 ขึ้นมาคัดค้าน ทั้งที่การประชุม ครม. 13 ส.ค. 63 เพื่อพิจารณาในเรื่องดังกล่าว นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ มิได้มีท่าทีคัดค้านร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสีเขียว แต่อย่างใด 

โดยเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 63 กระทรวงคมนาคม เป็นฝ่ายเสนอผลการพิจารณาศึกษา เหตุผลและความจำเป็น เรื่องการขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนและรถไฟฟ้าบีทีเอส ของกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาการขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนและรถไฟฟ้า (บีทีเอส) สภาผู้แทนราษฎร เข้าสู่ที่ประชุมครม.ให้มีมติรับทราบ

จากการตรวจสอบพบว่า เรื่องนี้มีการประชุมหา จนได้ข้อสรุปจากทุกหน่วยงานเกี่ยวข้อง ตามเอกสารกระทรวงการคลัง วันที่ 16 พ.ย.63 ว่า กระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินการมาตามลำดับขั้นตอน และกระทรวงคมนาคม ในฐานะที่เป็นหน่วยงานนำเสนอความเห็นประกอบการพิจารณา เห็นชอบโครงการนี้มาตั้งแต่แรก แต่เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลง รมว.คลัง จากนายปรีดี ดาวฉาย เป็นนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ สำนักเลขาธิการครม. จึงต้องขอความเห็นจากกระทรวงการคลังอีกครั้ง ตามมติครม. 13 ส.ค. 63 และกระทรวงการคลัง ยังคงยืนยันให้ความเห็นชอบตามเดิม จากที่ทุกหน่วยงานเคยลงมติรับทราบผลการเจรจาและร่างสัญญาร่วมลงทุนฯ ในโครงการรถไฟฟ้าสีเขียว มาก่อนหน้า โดยเฉพาะกระทรวงคมนาคม ที่ร่วมให้ความเห็นตั้งแต่วันที่  4 มิ.ย.63 และที่ประชุมครม. วันที่ 13 ส.ค.63 เคยรับทราบผลการพิจารณาตามรายงานสรุปของกระทรวงมหาดไทย ไปแล้ว

ดังนั้น ตามไทม์ไลน์แล้วเห็นได้ชัดว่า โครงการขยายสัญญาสัมปทานการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ให้กับ "บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์" ได้ผ่านความเห็นชอบของทุกหน่วยงานแล้ว จึงมีการเตรียมความพร้อมเข้าสู่การขอมติที่ประชุมครม.เพื่ออนุมัติ  ในวันที่ 17 พ.ย. 63 แต่กระทรวงคมนาคม โดยนายศักดิ์สยาม ได้นำผลการศึกษาของกรมขนส่งทางราง ขึ้นมาคัดค้าน โดยไม่สนใจแนวทางเดิมจากการทำงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย มาตั้งแต่แรก อะไรเป็นตัวแปรทำให้หลักคิดของนายศักดิ์สยาม เปลี่ยนไป

สำหรับ "บีทีเอส" นั้น มีปัญหากับ กระทรวงคมนาคม ถึงขั้นฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ขอความเป็นธรรม กรณี รฟม. แก้ไขเงื่อนไขหลักเกณฑ์ประมูลสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสีส้ม จนถูกตั้งคำถามว่า เป็นไปเพื่อเอื้อให้กับ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด หรือ  BEM หรือไม่ 

160610195938

จากนี้ไป จึงต้องจับตาว่า ท้ายสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะตัดสินใจประเด็นนี้อย่างไร เพราะในคราวการประชุมครม. วันที่  13 ส.ค.63 มีการหารือในประเด็นเดียวกันนี้อีกครั้ง เป็นที่มาหนังสือด่วนกระทรวงการคลัง ที่ กค 0820.1/20037 ยืนยันความเห็นชอบ ปรากฎข้อความสำคัญ ว่า "กระทรวงการคลังให้ความเห็นตามเดิม เหมือนที่กระทรวงคมนาคม เคยเสนอผลการพิจารณารายงานผลการศึกษาฯ ตามหนังสือกระทรวงคมนาคม ด่วนที่สุด ที่ คค (ปคร) 0202/192 ลงวันที่ 4 มิ.ย.2563 ให้ที่ประชุมครม.รับทราบไปแล้ว
 
ดังนั้น ความตั้งใจของพล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่เข้ามาทำหน้าที่หัวหน้าคสช. ในประกาศแนวนโยบายเรื่องการเร่งพัฒนาระบบขนส่งมวลชน เพื่อคุณภาพชีวิตคนกรุงให้มีความสมบูรณ์แบบ จะเกิดขึ่นได้หรือนั้น อยู่ที่จะมีมติให้ความเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสีเขียว กับ บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ช้าหรือเร็ว

ด้าน นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงประเด็นการขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวออกไปอีก 30 ปี ให้กับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ภายหลังที่ประชุม ครม. ยังไม่อนุมัติและให้กระทรวงมหาดไทยกลับไปทำรายละเอียดใหม่ว่า ยังไม่ทราบว่าในวันนี้กระทรวงมหาดไทยจะเสนอที่ประชุม ครม. หรือไม่

ทั้งนี้ในส่วนของกระทรวงคมนาคมได้ทำความเห็นส่งกระทรวงมหาดไทยไปแล้ว พร้อมระบุว่าในเรื่องนี้กรรมาธิการด้านการคมนาคม ที่มีนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส. มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน กำลังเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องไปชี้แจง เพราะตามความเห็นของคมนาคม ให้คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติพยายามทำให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ส่วนที่ฝ่ายค้านเตรียมอภิปรายในเรื่องนี้ ก็ถือเป็นเรื่องของฝ่ายค้าน ขณะเดียวกันกระทรวงมหาดไทยกำลังทำข้อมูลเพิ่มเติมอยู่