'ธนาธร' เยือนอีสาน 'ปิยบุตร' ขึ้นเหนือ หาเสียง 'ก้าวหน้า' เลือกตั้งท้องถิ่น

เมื่อวันที่ 20 พ.ย.นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เดินทางไปยังจังหวัดสุรินทร์ เพื่อช่วยนายมานพ แสงดำ ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ (อบจ.) เบอร์ 2 และทีมผู้สมัครสมาชิกสภาจังหวัด (ส.อบจ.) ในนามคณะก้าวหน้า รณรงค์หาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 20 ธ.ค. 

นายธนาธร กล่าวตอนหนึ่งขณะเดินช่วยหาเสียง โดยระบุว่า ที่ตนมาในวันนี้ต้องการรณรงค์ให้ประชาชนชาวสุรินทร์ทุกคนออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง เพราะหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงของทุกคนมีความหมาย เพราะความสำคัญของการเลือกตั้งท้องถิ่น คือ การกำหนดอนาคตของประเทศ และการเลือกตั้งยังเป็นการส่งเสียงให้ผู้มีอำนาจรู้ว่า ขณะนี้ประชาชน จะไม่ยอมถูกกดขี่อีกต่อไป 20 ธันวาคมนี้ เราต้องออกไปแสดงให้พวกเขาเห็น ว่าพวกเราประชาชนในฐานะคนธรรมดา ที่ไม่มีปืน มีแต่มือเปล่ากับบัตรเลือกตั้ง ทำให้เขาเห็นว่าบัตรเลือกตั้งแข็งแกร่งกว่าลูกปืน 

"กลไกการเลือกตั้ง คือกลไกที่สันติและสงบสุขที่สุดในการจัดการความคิดเห็นที่แตกต่าง การเลือกตั้งคือกลไกที่ดีที่สุดในการส่งเสียงไปถึงผู้มีอำนาจ เสียงของประชาชนผู้ไม่ยอมจำนน เสียงของประชาชนที่ไม่ทนอีกแล้ว ขอให้ทุกท่านอย่าเชื่อว่าเสียงขอทุกท่านไม่มีอำนาจ เพราะอำนาจมาถึงมือพวกท่านแล้ว 20 ธันวา ใช้อำนาจของพวกเรา ใช้บัตรเลือกตั้งของพวกเรา ใช้เสรีภาพของพวกเรา ส่งเสียงดังๆว่าเราต้องการความเปลี่ยนแปลง และผมขอให้ทุกท่านกล้า กล้าที่จะออกไปใช้สิทธิ์ของท่าน เพราะที่ผ่านมาเขาข่มขู่ให้เรากลัว ผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากส่งต่อสังคมแห่งความหวาดกลัวแบบนี้ ส่งต่อให้กับลูกหลานของเรา" นายธนาธร กล่าว 

ด้าน นายมานพ กล่าวว่า ตนมีความมุ่งหวังที่จะพัฒนาจังหวัดสุรินทร์ ตนมีความตั้งใจที่จะทำงานการเมืองที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ ตนต้องการพัฒนาพื้นที่ที่อยู่ในความดูแลของ อบจ. เป็นพื้นที่ของคนสุรินทร์อย่างแท้จริง นอกจากนี้ตนให้คำมั่นสัญญาได้ว่า หากได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน ตนจะนำภาษีของประชาชน มาพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการและเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน

ขณะที่ อีกด้านหนึ่งนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ลงพื้นที่หาเสียงที่จังหวัดพะเยา โดยที่ตลาดเทศบาล อ.เชียงคำ จ.พะเยาได้หาเสียงให้กับ นายชัยประพันธ์ สิงห์ชัย ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) พะเยา เบอร์ 1 พร้อมด้วยทีมผู้สมัครสมาชิกสภา อบจ.พะเยา ซึ่งส่งครบทั้ง 24 เขต 

นายปิยบุตร กล่าวว่า การเมืองท้องถิ่นที่ผ่านมา ถูกผู้ขาดโดยบ้านใหญ่ หาเสียงกันผ่านระบบหัวคะแนน ไม่เคยมีใครชูนโยบายว่างบประมาณของ อบจ.พะเยา ปีละกว่า 500 ล้านบาท และอยู่ในวาระ 4 ปี ตกราว 2,000 ล้านบาทนั้น จะถูกนำไปใช้ทำอะไรบ้าง คณะก้าวหน้าเราตั้งใจทำการเมืองท้องถิ่นแบบใหม่ เรารณรงค์หาเสียงครั้งนี้ด้วยการชูนโยาย โดยมีทีมงานจากส่วนกลางและในพื้นที่ร่วมกันออกแบบผ่านหลัก 3 ข้อคือ พื้นที่จริง พี่น้องประชาชนจริง และสถานการณ์จริง ดังนั้น อยากให้มาแข่งขันกันที่นโยบาย

"สำหรับพื้นที่ จ.พะเยา เราได้คนที่มีความมุ่งมั่น จริงจัง ตั้งใจที่จะเข้ามาเปลี่ยนการเมืองท้องถิ่น นั่นคือคุณชัยประพันธ์ สิงห์ชัย ซึ่งรู้ตัวดีว่าในการเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้เขาต้องเจอศึกหนัก รู้ว่าสู้กับอะไรอยู่ แต่คุณชัยประพันธ์ยืนยันแล้วว่ามั่นใจ ไม่กลัว และจะแข่งขันกับการเมืองแบบเก่าด้วยนโยบาย ไม่ซื้อสิทธิ์ขายเสียง ร่วมพลิกมิติการเมืองท้องถิ่นอีกครั้ง อย่างที่พวกเราเคยประสบความสำเร็จมาแล้วกับการเลือกตั้งระดับประเทศ" นายปิยบุตร กล่าว

ด้าน นายชัยประพันธ์ กล่าวว่า ตนเองรู้ดีว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ต้องเจอศึกหนัก แต่ขอย้ำอีกครั้งว่าไม่กลัว เพราะถ้าตนเองกลัว คนพะเยาอีกกว่า 4 แสนคนล่ะจะเป็นอย่างไร ตนเข้ามาทำงานการเมืองท้องถิ่นครั้งนี้เพราะเป็นห่วงอนาคตของลูกหลาน อยากเข้ามาเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้จังหวัดพะเยาดีขึ้น สร้างสังคมที่เสมอภาค เท่าเทียม และเป็นธรรม และเรายึดหลักว่า บ้านใหญ่ของเรา นายใหญ่ของเรา คือประชาชน

"สำหรับนโยบายที่จะใช้หาเสียงในครั้งนี้มี 4 ด้าน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่จะนำมาพัฒนา ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้กับพี่น้องชาวพะเยา ได้แก่ 1.การท่องเที่ยว เรามีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญกว่า 40 แห่ง แต่ยังขาดการประชาสัมพันธ์ที่ดี 2.คมนาคม ซึ่งเชื่อมโยงกับนโยบายแรก เราต้องการสร้างการขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ ระยะทางจากสนามบินเชียงรายมาพะเยา 100 กิโลเมตรต้องมีขนส่งสาธารณะที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ 3.แหล่งน้ำ ต้องจัดการไม่ให้หน้าแล้งขาดแคลนน้ำ พอหน้าฝนเกิดน้ำท่วม และ 4.พัฒนาการศึกษา ให้ลูกหลานชาวพะเยาได้เรียนในโรงเรียนที่มีคุณภาพ" นายชัยประพันธ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการเดินทางมาเยือน จ.พะเยา ในครั้งนี้ นายปิยบุตร นายชัยประพันธ์ พร้อมทีมงานยังได้เดินทางไปชมน้ำตกภูซาง เพื่อวางแผนศึกษาเรื่องการขนส่งสาธารณะ อีกทั้งได้ไปพูดคุยกับเกษตรกรซึ่งอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยว และร่วมตำส้มตำกินกันด้วย