ภาวะการลงทุนดีขึ้น
ปัจจัยที่จะตัดสินแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี 2563 คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ, สถานการณ์โควิด-19 และ การรายผล Stress test ของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย !
จากบทความก่อนหน้าที่ผมเขียนก่อนหน้าว่า ปัจจัยที่จะตัดสินแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี 2563 ได้แก่ i) การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ , ii) สถานการณ์โควิด-19 (ทั้งการแพร่ระบาดของไวรัส และข่าวความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีน), และ iii) การรายผล Stress test ของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย ซึ่งจะนำไปสู่การปลดล๊อคการจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้น ซึ่งผลที่ออกมาทั้ง 3 ประเด็น เป็นไปในทิศทางเชิงบวกทั้งสิ้น ส่งผลให้ดัชนี SET index พุ่งทะยาน +12.1% ตั้งแต่วันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา และเม็ดเงินต่างชาติพลิกกลับเป็นซื้อสุทธิสะสมรวม +1,050 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูลยอดซื้อขายสุทธิต่างชาติวันที่ 4 พ.ย.-19 พ.ย.2563)
สำหรับประเด็นที่สำคัญหลังจากนี้ในระยะสั้นช่วงปลายเดือน พ.ย.-ต้นเดือน ธ.ค. คือ การติดตามสถานการณ์โควิด-19 เนื่องจากแม้ว่า จะมีผลการทดสอบวัคซีนระยะสุดท้ายที่เป็นที่น่าพอใจถึง 2 บริษัทแล้วก็ตาม แต่ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างกระบวนการขออนุมัติการใช้วัคซีนจาก องค์การอาหารและยาของสหรัฐ (FDA) และอาจต้องใช้เวลาในการผลิตสำหรับประชากรโลกในปริมาณมาก ดังนั้นในช่วงรอยต่อก่อนที่จะมีการอนุมัติใช้วัคซีนฯ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสฯยังรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อาจนำไปสู่การตัดสินใจใช้มาตรการล็อคดาวน์ในประเทศหลักๆฝั่งตะวันตก อาทิ สหรัฐฯ และประเทศในทวีปยุโรป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนระยะสั้นในตลาดหุ้นรวมถึงสินทรัพย์เสี่ยงได้
อย่างไรก็ดีผมประเมินว่าหากมีความผันผวนระยะสั้นเกิดขึ้นจริง ก็จะเป็นโอกาสในการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่ 'ตกรถ' ไม่ได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงไปก่อนหน้านี้ในช่วงที่ดัชนีย่อลงไปบริเวณแนวรับจิตวิทยาที่สำคัญ 1,200 จุด เนื่องจาก ผมประเมินว่าการอนุมัติให้ใช้วัคซีนล๊อตแรกจะเริ่มขึ้นได้ในปลายเดือน ธ.ค.นี้ หรืออย่างช้าต้นเดือน ม.ค.2564 ซึ่งจะเป็นการปลดล๊อคครั้งสำคัญของการต่อสู้กับไวรัสโคโรน่ามาตลอดปี 2564 ของทุกประเทศทั่วโลก และจะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาขับเคลื่อนได้อีกครั้ง ขณะที่หากสมมติฐานต่างๆเป็นไปตามคาด GDP ของไทยปี 2564 จะพลิกเป็นบวกถึง +6.8% (จากปีนี้ที่คาดจะติดลบ -5.9%) และประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนจะฟื้นตัวบวก +46.2% YoY เป็น 78.59 บาท/หุ้น และจะทำให้ Forward PE ที่อิงประมาณการฯ ปี 2564 ลดลงเหลือเพียง 17.4 เท่า (จากปีนี้ที่ 25.5 เท่า)
นอกจากนี้ผมศึกษาข้อมูลในอดีตย้อนหลังตั้งแต่ปี 2542 เรื่องวัฏจักรการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ โดยพิจารณาจากเม็ดเงิน Fund flow ที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทย พบว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิในปริมาณที่มากกว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อวัน เม็ดเงิน Fund flow จะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องอีกหลายเดือนติดต่อกัน (ระหว่างทางอาจมีขายสุทธิสลับบ้าง แต่ในภาพรวมยอดสะสมยังเป็นบวกต่อเนื่อง) อย่างไรก็ดีจากข้อมูลที่ผมศึกษาพบประเด็นที่น่าสนใจคือวัฏจักรการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติจะเริ่มมีระยะเวลาที่สั้นมากขึ้นเรื่อยๆ จากในอดีตที่ Fund flow ในภาพรวมจะเป็นบวกต่อเนื่องอย่างน้อยราวๆครึ่งปีก่อนที่จะเริ่มลดความร้อนแรงและเริ่มไหลออก (นักลงทุนต่างชาติเริ่มมีการขายล๊อคกำไร) แต่ในปัจจุบันจากวัฏจักรการลงทุนรอบล่าสุด เม็ดเงิน Fund flow ไหลเข้าไทยในระยะเวลาเพียงราว 30 - 60 วันทำการก่อนที่จะเริ่มมีการขายสุทธิต่อเนื่อง แต่ผมประเมินว่าก็เพียงพอที่จะเป็นข้อมูลในการตัดสินใจลงทุนเพิ่มเติมว่าอย่างน้อย 'ผู้เล่น' รายสำคัญที่ห่างหายจากตลาดหุ้นไทยไปหลายปีจะเริ่มกลับมาแล้ว ในช่วงปลายปีนี้ และอาจต่อเนื่องถึงต้นปี 2564
สำหรับหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจลงทุนในสถานการณ์ที่โลกของเรากำลังจะมีวัคซีนโควิด-19 ก็คงหนีไม่พ้น หุ้นในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบเชิงลบเต็มที่จากมาตรการล็อคดาวน์และปิดการเดินทางระหว่างประเทศไปก่อนหน้านี้ อาทิเช่น i) หุ้นในกลุ่มพลังงานต้นน้ำ (โรงกลั่นและปิโตรเคมี) ที่ความต้องการใช้พลังงานจะเริ่มฟื้นตัวหลังจากประชากรโลกจะเริ่มเดินทางกันได้อีกครั้งหลังจากมีวัคซีนฯ ii) หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว สันทนาการ ที่จะเริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยวกลับมาได้อีกครั้ง เป็นต้น แม้ว่าในระยะสั้น นักลงทุนอาจกังวลว่า ผลการดำเนินงานใน 4Q63 และ 1Q64 อาจยังไม่สามารถผลิกฟื้นกลับมาเป็นกำไรได้ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวและสันทนาการ ดังนั้นผมจึงอยากที่จะแนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นในกลุ่มฯที่สถานะทางการเงินสุ่มเสี่ยงที่จะไม่สามารถรักษาสภาพคล่องสำหรับการดำเนินงาน และสำหรับการจ่ายคืนหนี้สินได้ในช่วง 2 ไตรมาสข้างหน้าไปก่อน ...
นักลงทุนอาจศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากบทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของฝ่ายวิจัยฯ บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) ว่าหุ้นตัวใดที่มีความเสี่ยงด้านสถานะทางการเงินบ้าง และอาจหลีกเลี่ยงการลงทุนหุ้นเหล่านี้ไปก่อน เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุน