‘ดาวโจนส์’ปิดบวก 44 จุด-นลท.หวังเจรจากระตุ้นศก.รอบใหม่

‘ดาวโจนส์’ปิดบวก 44 จุด-นลท.หวังเจรจากระตุ้นศก.รอบใหม่

‘ดาวโจนส์’ปิดบวก 44 จุด-นลท.หวังเจรจากระตุ้นศก.รอบใหม่ แม้กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 742,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 710,000 ราย

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดวันพฤหัสบดี(19พ.ย.)ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย 44 จุด เหตุนักลงทุนเริ่มมีความหวังว่า การเจรจารอบใหม่เพื่อออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐจะช่วยหลีกเลี่ยงการชัตดาวน์และการปลดพนักงานของบริษัทต่างๆที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19ได้ แม้นักลงทุนจะผิดหวังเกี่ยวกับตัวเลขว่างงานในสหรัฐที่สูงกว่าคาด

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 44.81 จุด หรือ 0.15% ปิดที่ 29,483.23 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 14.08 จุด หรือ 0.39% ปิดที่ 3,581.87 จุดและดัชนีแนสแด็กบวก 103.11 จุด หรือ 0.87% ปิดที่ 11,904.71 จุด

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 742,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 710,000 ราย จากระดับ 709,000 รายที่มีการรายงานในสัปดาห์ก่อนหน้านี้

ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกได้พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์แตะระดับ 6.9 ล้านรายในช่วงปลายเดือนมี.ค. โดยได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ ส่งผลให้ภาคธุรกิจปิดกิจการ และมีการปลดพนักงานจำนวนมาก

ส่วนจำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องลดลง 429,000 ราย สู่ระดับ 6.37 ล้านราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 มี.ค. ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

อย่างไรก็ดี ตลาดยังได้แรงหนุนจากความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ และโมเดอร์นา อิงค์

ไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยาใหญ่ที่สุดของสหรัฐ และไบโอเอ็นเทค ซึ่งเป็นบริษัทยาของเยอรมนี แถลงว่า ผลการวิเคราะห์ข้อมูลในขั้นสุดท้ายบ่งชี้ว่า วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ซึ่งทั้งสองบริษัทพัฒนาร่วมกัน มีประสิทธิภาพ 95% ในการป้องกันไวรัสโควิด-19

ไฟเซอร์เปิดเผยว่า ทางบริษัทจะยื่นขออนุมัติการใช้วัคซีนดังกล่าวต่อสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (เอฟดีเอ) ในอีกไม่กี่วัน ขณะที่บริษัทคาดว่าจะผลิตวัคซีนจำนวน 50 ล้านโดสในปีนี้ และ 1,300 ล้านโดสในปีหน้า

ด้านบริษัทโมเดอร์นา อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐ แถลงว่า ผลการทดลองวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ในเฟสที่ 3 พบว่า วัคซีนดังกล่าวมีประสิทธิภาพ 94.5% ในการป้องกันไวรัสโควิด-19

นายแพทริก สเปนเซอร์ รองประธานของวาณิชธนกิจไบรด์ กล่าวว่า ดัชนีดาวโจนส์มีแนวโน้มพุ่งแตะระดับ 40,000 จุดในปีหน้า

“เราได้พูดคุยกันในบริษัทว่าดาวโจนส์อาจแตะ 40,000 จุดในปีหน้า เนื่องจากดัชนีดาวโจนส์ประกอบด้วยหุ้น value มากกว่าหุ้น growth โดยหุ้น value จะปรับตัวโดดเด่นขึ้น และหุ้น growth จะปรับตัวอย่างมีเสถียรภาพ” นายสเปนเซอร์กล่าวในรายการสตรีท ไซจ์ ยุโรป ของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นบีซี

ทั้งนี้ หุ้น value เป็นหุ้นกลุ่มที่มีการซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง และจะปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งในระยะนี้ หุ้น value ได้ดีดตัวขึ้น ขานรับความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวขึ้น ส่วนหุ้น growth เป็นหุ้นกลุ่มที่ได้รับการคาดการณ์ว่าจะมีการขยายตัวมากกว่าอัตราเฉลี่ยในตลาด เช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

นอกจากนี้ นายสเปนเซอร์ยังกล่าวว่า ขณะนี้ยังคงมีเงินจำนวนมากรอเข้าลงทุนในตลาดหุ้น โดยมีเงินทุนมากถึง 6.5 ล้านล้านดอลลาร์พักอยู่ในบัญชีตลาดเงิน โดยส่วนหนึ่งเป็นเงินสด และอีกส่วนหนึ่งเป็นเงินทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น

อย่างไรก็ดี นายสเปนเซอร์ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับเป้าหมายดัชนี และกำหนดเวลาที่ดาวโจนส์จะแตะระดับ 40,000 จุด ซึ่งหากดัชนีดาวโจนส์พุ่งแตะระดับ 40,000 จุดในปีหน้า จะเป็นการทะยานขึ้น 35% จากระดับปัจจุบัน