บิ๊กเนมโรงแรมระดมสมอง! จี้รัฐลดอุปสรรค-เปิดประเทศพยุงเศรษฐกิจ

บิ๊กเนมโรงแรมระดมสมอง!  จี้รัฐลดอุปสรรค-เปิดประเทศพยุงเศรษฐกิจ

ช่วงเย็นของวันที่ 16พ.ย.ที่ผ่านมา พิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬาได้จัดประชุมระดมความคิดเห็นและข้อเสนอจากเจ้าของและผู้บริหารโรงแรมขนาดใหญ่และกลางของไทยเกือบ20ราย เกี่ยวกับแนวทางฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในช่วงวิกฤติโควิดยังดำรงอยู่

มาริสา สุโกศล หนุนภักดี รองประธานกรรมการ กลุ่มบริษัทและโรงแรมในเครือสุโกศล และนายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) บอกว่า รัฐน่าจะมีมาตรการ “เจาะจง” ช่วยธุรกิจโรงแรมได้ เนื่องจากโรงแรมเป็นกลุ่มธุรกิจที่ฟื้นตัวช้าที่สุดจากวิกฤติโควิด เช่น การช่วยจ่ายเงินเดือนพนักงานโรงแรม 50% ในลักษณะเดียวกับมาตรการที่รัฐบาลช่วยจ่ายค่าแรงแก่เด็กจบใหม่ ขณะเดียวกันต้องการให้รัฐขยายเวลาลดอัตราการจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมตามมาตรา 33 เหลือ 2% ที่กำลังจะสิ้นสุดในสิ้นปี 2563 ออกไปอีกระยะ และคงการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะต้องจ่ายในปี 2564 ไว้ที่ 10% ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนลงได้บ้าง

ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ต้องการให้รัฐบาล “เร่งเปิดประเทศ” หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ อาจทำให้โรงแรมอยู่ไม่ไหว โดยขณะนี้ธุรกิจธนาคารและการเงินมีสภาพคล่องล้นเนื่องจากคนหันไปฝากเงิน แต่ธนาคารเลี่ยงปล่อยกู้แก่ธุรกิจท่องเที่ยวเพื่อหนีความเสี่ยง จึงอยากให้รัฐออกนโยบายการคลังพยุงผู้ประกอบการท่องเที่ยว ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มาช่วยค้ำประกันเงินกู้แก่เอสเอ็มอี เชื่อว่าหลายรายจะยอมจ่ายค่าประกันที่สูงเพื่อโอกาสในการเข้าถึงเงินทุน

ด้านการช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ ขอเสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ช่วยผ่อนคลายระเบียบ เนื่องจากหุ้นกู้ของบริษัทหลายแห่งใกล้ถึงกำหนดชำระ แม้ ธปท.รับปากแล้วว่าจะช่วย แต่เกณฑ์ยัง “ตึงตัว” ค่อนข้างมาก

ขณะเดียวกันยังสนับสนุนให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯผลักดันนโยบายจัดตั้ง “กองทุนฟื้นฟูธุรกิจท่องเที่ยว” เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ไม่สามารถพยุงกิจการเอาไว้ได้ในช่วงวิกฤตินี้ ให้สามารถนำโรงแรมมาเข้ากองทุนฯเพื่อเอาเงินมาบริหารจัดการ โดยมีเงื่อนไขว่าภายใน 5-7 ปีข้างหน้าค่อยมาซื้อโรงแรมคืน

“เมื่ออนาคตมีการใช้วัคซีนอย่างแพร่หลาย อยากให้รัฐเตรียมความพร้อมระบบ E-Visa ให้เชื่อมต่อกับการอนุมัติใบอนุญาตเดินทางเข้าประเทศไทย (Certificate of Entry : COE) แก่ชาวต่างชาติให้สามารถเดินทางมาได้ทันที”

ด้านภาคภูมิ ประภาษวุฒิ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารธุรกิจโรงแรม บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะฟื้นตัวจากวิกฤติโควิดก่อนประเทศอื่นๆ แต่เนื่องจากภาคท่องเที่ยวไทยพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติสูง ปี 2562 มีจำนวนมาเยือนเกือบ 40 ล้านคน ทำให้ดีมานด์ของตลาดในประเทศไม่เพียงพอสำหรับซัพพลายห้องพักปัจจุบัน อัตราเข้าพักเฉลี่ยทั่วประเทศชะงักที่ราว 20% มากว่า 5 เดือนแล้ว และเมื่อโฟกัสเฉพาะต่างจังหวัดมีอัตราเข้าพักเฉลี่ยแค่ 5-10% เท่านั้น ยกเว้นบางโรงแรมที่ได้รับความนิยมจากคนไทยหลังคลายล็อคดาวน์ซึ่งมีอัตราเข้าพักเกิน 50-60% แต่ก็ครองสัดส่วนเพียง 5% ของจำนวนโรงแรมทั้งหมดในไทย

“ในมุมผู้ประกอบการมองว่าจำเป็นต้องเปิดประเทศ เพราะไม่มีทางที่โรงแรมไทยจะ Survive หรือเอาตัวรอดได้เลยจากอัตราเข้าพักเฉลี่ย 20% ถ้าไม่เปิดประเทศก็ต้องมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการให้อยู่ต่อไปได้เพื่อรักษาการจ้างงาน โดยปัจจุบันรัฐยังขาดความชัดเจนในการกำหนดมาตรการต่างๆ ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถวางแผนได้ว่าจะเดินอย่างไรต่อ”

ศุภวรรณ ถนอมเกียรติภูมิ รองกรรมการผู้จัดการ โรงแรมเดอะ ทวิน ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของทีเอชเอ กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลช่วยประชาสัมพันธ์ให้คนไทย “เข้าใจ” และ “ยอมรับ” การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต้องปลอดโควิดตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นในอีก 10 เดือนข้างหน้าประเทศไทยก็จะยังไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา ส่วนผู้ประกอบการซึ่งแบกรับต้นทุนหนักมากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ตอนนี้ไม่สามารถถมเงินได้อีกต่อไปแล้ว

ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชันแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลประกอบการของกลุ่มไมเนอร์ฯในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ขาดทุนทั่วโลกกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นขาดทุนเฉพาะในไทยกว่า 2,000 ล้านบาท โดยทางไมเนอร์ฯพยายามช่วยเหลือตัวเองมาตลอด ทั้งการเพิ่มทุนและออกหุ้นกู้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องรอดพ้นปีนี้ไปได้

“อยากให้รัฐเร่งเปิดประเทศ ทั้งการทำทราเวลบับเบิล รวมถึงการลดวันกักตัว การปรับลดความเข้มงวดในการกักตัว และช่วยออกมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการเพิ่มเติมให้สามารถรักษาการจ้างงานไว้ได้”

ด้านพิพัฒน์ รมว.การท่องเที่ยวฯ กล่าวว่า ได้รับทราบข้อเสนอทั้งหมดไปพิจารณา เช่น เรื่องการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูธุรกิจท่องเที่ยว ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้สั่งการใน ศบศ.ให้ไปผลักดันเรื่องนี้ อาจต้องใช้วงเงิน 50,000-100,000 ล้านบาทมาช่วยเหลือภาคเอกชนท่องเที่ยว โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่กำลังเดือดร้อนอย่างหนัก ส่วนข้อเสนออื่นๆ จะนำไปหารือเพิ่มเติมกับนายกฯและ ศบศ.ต่อไป

“และในที่ประชุม ศบค.วันนี้ (18 พ.ย.) จะหารือถึงการผ่อนปรนการกักตัว 14 วัน จากเดิมต้องอยู่แต่ในห้องพักเท่านั้น เปลี่ยนมาเป็นอยู่ในพื้นที่จำกัดหรือ Area Quarantine แทน”