‘เฟซบุ๊ค’ ดึง พลังเอไอ สกัดคอนเทนท์อันตราย

‘เฟซบุ๊ค’ ดึง พลังเอไอ สกัดคอนเทนท์อันตราย

ให้ความสำคัญกับประเภทของเนื้อหาที่เป็นอันตรายที่สุดก่อนเสมอ

สถิติโดย “เฟซบุ๊ค” ระบุว่ามีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องมี “เครื่องมือ” ที่สามารถตรวจจับก่อนที่จะถูกเผยแพร่ออกไป ด้วยแต่ละวันมีผู้คนบนเฟซบุ๊คโพสต์เนื้อหามากกว่า 160 ภาษา ผู้คนกว่า 1.82 พันล้านคนจากทุกมุมโลกเข้าใช้งานเฟซบุ๊คโดยใช้ภาษาที่ไม่เหมือนกัน และมีภาษาถิ่นที่แตกต่างกันนับพันภาษา รวมมีการโพสต์เนื้อหาหลายพันล้านเนื้อหาไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ วีดิโอ หรือข้อความ​

ตรวจเข้ม24ชั่วโมง7วัน

ไรอัน บาร์นส์ ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ เฟซบุ๊ค เผยว่า เฟซบุ๊คมีแผนที่จะเพิ่มการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีเอไอรวมถึงระบบอัตโนมัติในการจัดการกับเนื้อหาที่เป็นอันตรายบนแพลตฟอร์ม

โดยแนวทางการทำงาน มีทีมงานที่มีบทบาทสำคัญอยู่ 3 ทีม ได้แก่ 1.ทีมงานด้านนโยบายเนื้อหา ทำหน้าที่ร่างมาตรฐานชุมชน ซึ่งถือเป็นกฎระเบียบที่กำหนดว่าสิ่งไหนที่ได้รับอนุญาตหรือไม่ได้รับอนุญาตบนเฟซบุ๊ค บุคลากรในส่วนนี้จะประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาทางวิชาการ กฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย และด้านรัฐบาล

ขณะที่ 2.ทีมงานดูแลด้านความปลอดภัยสำหรับชุมชนและระบบ รับผิดชอบการสร้างเทคโนโลยีเพื่อช่วยสนับสนุนให้บังคับใช้แนวทางมาตรฐานชุมชน และ 3.ทีมปฏิบัติงานระดับโลก ดูแลการบังคับใช้มาตรฐานชุมชนผ่านการตรวจสอบโดยมนุษย์

ปัจจุบันเฟซบุ๊ค มีผู้ตรวจสอบเนื้อหากว่า 15,000 คน ที่คอยตรวจสอบเนื้อหากว่า 50 ภาษา ประจำการอยู่ในพื้นที่กว่า 20 แห่งทั่วโลก เพื่อดำเนินการตรวจสอบตลอด 24 ชั่วโมงใน 7 วัน ที่ผ่านมาสามารถตรวจสอบข้อความที่เป็นอันตรายหรือภัยคุกคามได้มากกว่า 95% ก่อนที่ข้อความเหล่านั้นจะถูกรายงานเข้ามา

โดยระหว่างเดือนเม.ย.-มิ.ย. 2563 เครื่องมือของเฟซบุ๊คสามารถลบเนื้อหาที่เป็นบัญชีผู้ใช้ปลอมได้ 99.6%, สแปม 99.8%, เนื้อหาประเภทภาพที่มีความรุนแรง 99.5%, เนื้อหาการก่อการร้าย 98.5% และ ภาพเปลือยของเด็กและการแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศจากเด็ก 99.3%

ล่าสุด เพื่อให้เกิดความเข้าใจในทุกมิติของโพสต์ได้คิดค้นเทคโนโลยีที่เรียกว่า ระบบการตรวจสอบความถูกต้องปลอดภัยของเนื้อหาในทุกมิติในโพสต์ (Whole Post Integrity Embedding) หรือ WPIE ซึ่งเข้าใจง่ายๆ ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ทำงานโดยพิจารณาโพสต์ในทุกแง่มุมไม่ว่าจะเป็นภาพ วีดิโอ และข้อความ เพื่อพิจารณาถึงการละเมิดนโยบายใดๆ ได้ในทันทีโดยการใช้เครื่องจำแนกเพียงเครื่องเดียว แทนที่จะใช้เครื่องจำแนกหลายเครื่องกับประเภทของเนื้อหาและการละเมิดต่างๆ แยกกันไป

เน้นทำงานเชิงรุก

เฟซบุ๊คทำงานเชิงรุกในการค้นและนำเนื้อหาออกโดยไม่พึ่งพาเพียงการรายงานจากผู้ใช้ นอกจากการจัดการควบคุมเนื้อหาเทคโนโลยียังมีความสามารถในการจดจำรายงานที่ซ้ำเดิมสำหรับเนื้อหาเดียวกัน ระบุภาพและวีดิโอที่เคยถูกนำออกไป ป้องกันการอัพโหลดสื่อที่แสดงการหาผลประโยชน์จากเด็ก ภาพส่วนตัวทางเพศของผู้อื่นที่ไม่สมควรโดยไม่ได้รับความยินยอม

รวมไปถึง ยับยั้งการแพร่สะพัดของเนื้อหาบางประเภทที่เห็นได้ชัดว่าเป็นการละเมิดต่อมาตรฐานชุมชน โดยจะให้ความสำคัญกับประเภทของเนื้อหาที่เป็นอันตรายที่สุดก่อนเสมอ อาทิ การฆ่าตัวตาย การแสวงหาผลประโยชน์จากเด็ก หรือการก่อการร้าย 

ส่วนเนื้อหาประเภทอื่นๆ จะถูกส่งไปตรวจสอบโดยมนุษย์ตามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยรายงานจากผู้ใช้จะถูกให้ความสำคัญมากกว่าที่ระบุในเชิงป้องกันโดยเทคโนโลยี