'สุพัฒนพงษ์' เร่งแผนปฏิบัติการเชิงรุกปั๊มเศรษฐกิจปี64 หลังจีดีพี ไตรมาส 3 ดีกว่าคาด

'สุพัฒนพงษ์' เร่งแผนปฏิบัติการเชิงรุกปั๊มเศรษฐกิจปี64 หลังจีดีพี ไตรมาส 3 ดีกว่าคาด

“สุพัฒนพงษ์” ชี้ จีดีพี ไตรมาส 3 ฟื้นตัวสอดรับดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจ มั่นใจ ไตรมาส 4 ดีต่อเนื่อง ขณะที่ปีหน้า พร้อมเร่งแผนปั๊มเศรษฐกิจเชิงรุก ลุยดึงดูดการลงทุนต่างชาติ

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาวน์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงกรณีสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) แถลงตัวเลขเศรษฐกิจ(จีดีพี)ประจำไตรมาส 3/2563 โดยจีดีพี ไตรมาส 3 ปีนี้ ติดลบ 6.4% ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจในไตรมาส 3 ดีขึ้นกว่าที่คาดไว้ หลังดัชนีหลายตัวชี้ให้เห็นว่า นับจากไตรมาส 2 ดีต่อเนื่องมาโดยลำดับ และตัวเลขจีพีพีดังกล่าว ถือว่าสอดคล้องกับดัชนีชี้วัดต่างๆ

ขณะที่ไตรมาส 4 ก็เชื่อว่าจะดีเป็นธรรมชาติ หรือ ตามซีซั่น และเชื่อว่าทั้งปีนี้ที่ สศช.ประเมินว่าจะติดลบ -6.7%  ก็น่าจะดีกว่าคาดการณ์ จากเดิมที่หลายฝ่ายประเมินว่าอาจติดลบ 9-12% โดยหากเป็นตามที่ สศช.ประเมินก็ถือว่าดีกว่าเมื่อเทียบกันในระดับอาเซียน เพราะเท่าที่ดูหลายประเทศน่าจะมีปัญหามากกว่า จากก่อนหน้านี้ประเทศไทยดูเหมือนจะเป็นประเทศที่เติบโตน้อยที่สุด หรือ ถดถอยมากที่สุดในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่สถานการณ์ขณะนี้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะหากดูประเทศรอบบ้าน เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปินส์ สถานการณ์เศรษฐกิจท่าทางจะหนักหนากว่าไทย

160551426260

“ดูผลจากไตรมาส 3 ที่ทุกฝ่ายร่วมไม้ร่วมมือกันกับรัฐบาลก็ทำกันมาจนถึงวันนี้ และก็จะต้องทำต่อไป ฉะนั้น ประเทศไทยน่าจะเป็นประเทศตัวอย่างประเทศหนึ่งที่แสดงถึงความร่วมมือประคองเศรษฐกิจไม่ให้ย่ำแย่ อย่างตัวเลขที่มีการคาดเดากันตั้งแต่ต้น”

ส่วนกรณีที่ สศช. เป็นห่วงงบประมาณรายจ่ายของภาครัฐปี64 จะต้องได้ 98% ของงบประมาณรายจ่ายนั้น นายสุพัฒนพงษ์ มองว่า เป็นเรื่องที่ต้องทำ และก็มีหน้าที่ต้องเร่งรัด เพื่อมาเสริมรายได้จากภาคการท่องเที่ยวและส่งออกที่ยังหดตัว

160551428679

อย่างไรก็ตาม ในปี2564 เชื่อว่า อัตราการเติบโตและสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกก็น่าจะดีขึ้น ถ้าไม่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ และการส่งออกก็น่าจะดีขึ้น ส่วนการจับจ่ายใช้สอยในประเทศก็ยังติดกับดักเรื่องของการท่องเที่ยว แต่ก็จะพยายามเปิดประเทศอย่างระมัดระวัง และคิดว่าเมื่อประเทศไทย มีความพร้อมหลังจากทำ 2 เรื่องได้สำเร็จ คือ ดูแลการระบาดโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี และช่วยกันประคับประคองเศรษฐกิจไม่ให้บอบช้ำ ก็หมายความว่าประเทศไทยอยู่ในสภาพที่ถดถอยน้อยกว่าประเทศอื่น ฉะนั้นโอกาสที่ไทยจะเป็นประเทศที่ล้มแล้วก็สามารถลุกขึ้นยืนได้เร็วกว่าประเทศอื่นได้สูงกว่า  

“ปีหน้า ก็เป็นปีที่จะต้องเร่งดึงดูดการลงทุนจะด้วยวิธีไหน ก็ต้องปฏิบัติการเชิงรุกมากขึ้น เรามีของดี คนดี เราเป็นเจ้าบ้านที่ดี มีความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานหลังใช้งบลงทุนต่อเนื่อง 5 ปี เกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้วก็ทำงานเชิงรุก และเชื่อมั่นไทยดีกว่าประเทศอื่นในอาเซียน ทำได้ดีกว่าที่หลายคนคาด ก็เป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจ เอาเป็นกำลังดึงดูดการลงทุน จะเป็นปีสำคัญถ้าเราร่วมแรงร่วมใจ ก็ขึ้นอยู่กับเราทุกคน ไม่ใช่แค่รัฐบาล ส่วนตัวเลขจีดีพี จะเป็นเท่าไหร่นั้น ยังไม่มีใครตอบได้”