วัคซีนใกล้เสร็จ SET ควรอยู่ตรงไหน?

วัคซีนใกล้เสร็จ SET ควรอยู่ตรงไหน?

หลังจากทั่วโลกได้รับข่าวดีจากความคืบหน้าของวัคซีนโควิด-19 ที่ถือเป็นความหวังสำคัญของประเทศทั่วโลก ตลาดหุ้นและการลงทุนเกิดการเปลี่ยนแปลง ปรับสมดุลใหม่ ตลาดหุ้นบางส่วนที่ถูกเมินก่อนหน้านี้ กลับได้รับความสนใจอีกครั้ง แล้วตลาดหุ้นไทยเป็นอย่างไรบ้าง?

ข่าวความคืบหน้าครั้งสำคัญของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของไฟเซอร์ อิงค์ และ BioNTech โดยมีประสิทธิภาพสูงถึง 90% ได้สร้างความหวังครั้งใหญ่ให้ทั้งโลก แม้จะยังใช้เวลาทดลองต่ออีกระยะหนึ่ง ก่อนจะสามารถผลิตมากระจายในวงกว้าง

ปรากฏการณ์นี้ ทำให้ตลาดลงทุนทั้งโลกต้องปรับสมดุลใหม่ จากที่เคยลดการถือหุ้น กลับมาเพิ่มการลงทุนในตลาดหุ้นบางส่วน และลดการเน้น Theme หุ้นเทคโนโลยี ย้ายเข้าสู่หุ้นในหมวดอื่นๆ ที่เคยหมางเมินในช่วงวิกฤติโควิด รวมทั้งหุ้นเดินทางท่องเที่ยว ตลอดจนหุ้นธนาคาร จากความหวังว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19

สำหรับตลาดหุ้นไทยนั้น SET Index ได้ขึ้นมาระดับ 1,350 จุด ก่อนจะย่อตัวลงมาที่ 1,330 ด้านทองคำได้ปรับตัวลงไปต่ำกว่า 27,000 บาท ขณะที่หุ้นโลกกำลังทดสอบจุดสูงสุด มุมคิดการลงทุนของผมในสินทรัพย์ต่างๆ มีดังนี้

  • วัคซีนล่าสุด น่าจะหยุดยั้งความกลัวว่าโรคโควิดจะกระทบเศรษฐกิจโลกไปอย่างยาวนานมากๆ หากสำเร็จสมบูรณ์ ทยอยขายวัคซีนได้ปลายไตรมาสแรกของปีหน้า

  • การ Rebound ขึ้นอย่างแรงในวันที่ 10 พ.ย.2563 เป็นเพราะข่าวดีมากะทันหัน ซึ่งจากนี้หุ้นคงพักตัว รอฟังข่าวอื่นๆ ต่อไป

  • แต่ขณะนี้ยอดติดเชื้อรายวันทั้งโลก พุ่งขึ้นมาเป็นวันละ 5 แสนคน น่าจะยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวเดินทางไปจนถึงช่วงที่มีวัคซีนสมบูรณ์ ดังนั้นภาวะเศรษฐกิจของไทย ซึ่งมีปัญหาส่วนตัวอีกด้วย คงจะยังติดลบในไตรมาส 4 ปีนี้ในระบบ yoy (เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) และไตรมาส 1 ปีหน้า แล้วฟื้นตัวเป็นบวก yoy ในไตรมาส 2 ปี 64
  • คาดว่า EPS ของตลาดไทยในไตรมาส 3 จะลดลง yoy ระดับ -20% เช่นเดียวกับไตรมาส 4 ดังนั้น EPS ของตลาดนับถึงไตรมาส 4 อาจจะลดเหลือ 50 บาท ซึ่งจะทำให้ P/E (ที่รวม EPS 4 ไตรมาสย้อนหลัง) สูง 28 เท่าที่ระดับ SET Index 1,400 จุด และสูงถึง 30 เท่าที่ระดับ 1,500 จุด ซึ่งเป็นระดับที่สูงเกือบที่สุดในสถิติเดิมทีเคยเผชิญ ผมจึงคิดว่าการ Rebound ของหุ้นไทย เดือนนี้เริ่มอิ่มตัวตั้งแต่ 1,400 จุด น่าจะต้องรอช้อนเพิ่มที่ระดับใกล้ 1,300 จุดแล้วครับ

  • ผมเชื่อว่า ตลาดหุ้นจะสะท้อนสภาพเศรษฐกิจล่วงหน้าราว 3-6 เดือน จังหวะเวลาที่น่าสนใจลงทุนคือ ปลายปีนี้ถึงต้นปี 2564

  • ฉบับเดือน ต.ค.2563 ผมได้แนะนำให้เพิ่ม Port หุ้นไทยอีก 5% เป็น 20% ที่ระดับ 1,200-1,250 จุด ขณะที่ให้คงระดับหุ้นโลกที่ 10% ทองคำ 15% และลดพันธบัตรรัฐบาลเป็น 55% รอบต่อไปผมเชื่อว่า ตลาดรวมจะยกระดับแนวรับลงทุนขึ้นจาก 1200 มาที่ 1300 จุด จากความมั่นใจเรื่องวัคซีนใกล้สำเร็จ หากหุ้นลงใกล้ 1,300 ควรเพิ่มหุ้นไทยอีก 5% รวมเป็น 25% โดยย้ายมาจาก Port กองทุนพันธบัตร

  • เดือน ธ.ค.2563 นี้ อาจเป็นเดือนที่มีอีกปัจจัยบวกคือ มาตรการช้อปดีมีคืน ที่คนจำนวนมากยังไม่ได้ใช้ยอดซื้อนี้เลย คงจะมาเร่งมือซื้อในเดือนสุดท้าย เพื่อรับประโยชน์ในด้านภาษีเงินได้ รวมถึงรอโบนัสมาช่วยจ่ายบัตรเครดิตที่รูดซื้อของใหญ่ใน ธ.ค.2563 ครับ บรรยากาศที่ดีขึ้นด้านช้อปปิ้ง บวกกับการที่เศรษฐกิจจะฟื้นใน 6 เดือนข้างหน้า ตลาดหุ้นไทยในปี 64 น่าจะมีความหวังได้กำไรจากการซื้อปลายปีนี้

  • หากอยากซื้อเป็นรายตัว แนะนำให้เข้าดูข้อมูลที่สมาคมนักวิเคราะห์ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดบทวิเคราะห์ ไว้ให้ดูฟรีกว่า 250 หุ้น ในเว็บไซต์ settrade.com ทาง Link นี้ https://www.settrade.com/settrade/iaaConsensus
  • สำหรับหุ้นโลกโดยรวมนั้น การที่สหรัฐจะได้ประธานาธิบดีใหม่ชื่อไบเดน มีมาตรการหนึ่งคือจะปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งมีผลกระทบทางลบต่อราคาหุ้น จะถ่วงดุลกับปัจจัยบวกจากนโยบายเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำแก่ผู้ทำงาน หุ้นสหรัฐ (ซึ่งมีน้ำหนักมากในกองทุนหุ้นโลก) อาจจะขึ้นได้ไม่มากในปีหน้า จึงน่าจะลงทุนไว้น้อยๆ คือ 10% ของ Port

  • ส่วนทองคำนั้นได้ปรับตัวลงมาบ้างแล้ว แต่ภาวะเศรษฐกิจโลกยังมีจุดอ่อนอยู่ จากภาวะว่างงานสูงขึ้นจากวิกฤตโควิด ที่คงต้องใช้เวลา 1-2 ปีในการฟื้นตัวพอ และหากหุ้นสหรัฐไม่วิ่งยาวมากนัก ทองคำก็จะเป็นสินทรัพย์ที่ดึงดูดใจต่อไป น่าจะคงน้ำหนักลงทุนที่ 15%

ช่วงท้ายนี้ฝากข่าวถึงนักวิเคราะห์ และผู้แนะนำการลงทุน ที่ต้องอบรมนับชั่วโมงต่อใบอนุญาต ทางสมาคมฯจะจัดอบรมในวันที่ 19-20 ธ.ค.2563 ทาง Online ซึ่งสะดวกและราคาเป็นมิตรที่สุด สนใจติดต่อ 02-009-9292 ต่อ 3717 https://forms.gle/ZpPoJrKZ9PBEvheq7